วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

Welcome to Sulawesi Trip Blog ยินดีต้อนรับสู่บล็อกเที่ยวเกาะสุลาเวสีครับผม


This blog is renovated again after some pictures in the blog has lost, we don't know what wrong with the server of Blogspot.com. And and also we want to tell that the flight of Air Asia from Kuala Lumpur to Manado (North Sulawesi) has cancelled now, they don't fly to Manado anymore. So, for the one who wants to visit Sulawesi, now still can fly by Air Asia from Kuala Lumpur to Makassar (South Sulawesi) and if you want to fly to Manado from Makassar, you may fly by Lion Air that you can see in the later post that we used to fly from Manado to Makassar. So, if you read this blog now, please understand that there is no flight between Kuala Lumpur and Manado anymore. The following sentences were the old topic that we wrote in the year 2009




Thank you for visiting this blog. Hopefully next time we will meet again in the blog of the other places. For the one who is interested in visiting Sulawesi now you can fly to it very easy. If you are now in Thailand, Phuket, Chiang Mai, Krabi or Bangkok, you can fly with Air Asia to Kualalumpur (LCCT) and from Kualalumpur (LCCT)you can take Air Asia flight to Manado or Makassar in Sulawesi Island. Air Asia is a good low cost airline in this region. You may subscribe your e-mail in its web site http://www.airasia.com/ when they have the low price promotion, you will receive an e-mail from them. If you want to make the trip like us, you may book from Kualalumpur to Manado first and visit the places in Manado, North Sulawesi Province. You may visit Bunaken Island for diving or just snorkeling, you can visit Tangkoko Park to see Tarsiers or you can rent a motorbike and see the places around Mando and Tomohon Town.


In Manado you can have a good place for Money Exchange (Better rate than the banks rate) and between Manado and Makassar you can book the ticket with Lion Air or you can go to book the ticket at the office in Manado Town. To fly from Manado to Makassar you have to choose the early morning flight and it will be in time for the Litha Bus from Makassar to Tana Toraja in the same day. (But quite long journey)


When you arrive at Makassar, South Sulawesi Province, you can take the taxi service inside Sultan Hasanuddin Airport to go to Litha Bus Terminal to go to Tana Toraja. The Litha Bus leave from the terminal at 10:00 a.m. If you go by this time, you will arrive at Rantepao, Tana Toraja in the evening. Recommend to stay in Pia's Poppies Hotel just walk-in there because we can not book this hotel by the internet. If this hotel is fully booked, you can stay in a hotel opposite Pia's Poppies too.


In Tana Toraja, you can rent a motorbike (Ask from the hotel owner to rent.) and see the place around. You may go to Government Tourist Office in Rantepao Town to have some guide book and Toraja Map and also you can ask when and where has the Funeral and Wedding Ceremony.


To come back from Rantepao, Tana toraja to Makassar, you can take Bintang Prima bus because it is located in Rantepao Town, you can book the ticket easily. There are 2 departure times from Rantepao, 9:oo a.m. and 9:00 p.m. You may take the 9:00 p.m. because you will arrive at Makassar in early morning. The Bintang Prima Bus also stops at Sultan Hasanuddin before Makassar down town area.
And from Makassar you can fly back to Kualalumpur (LCCT) again.


If you arrive Kualalumpur in late evening and you don't want to stay in a hotel in Kualalumpur, you can sleep in the aiport until morning.

Should you have any question to ask for more detail please send e-mail to us akeadi@gmail.com

If you want to book the hotel, for supporting us, you maybe can click the hotel reservation on the right menu . You can book it around the world, not only Indonesia.
Good Bye.


สวัสดีครับ ผมหลวงไข่ครับ ได้เข้ามาปรับปรุงอัพเดทข้อมูลเล็กน้อยครับ เพราะอยู่ๆ รูปในบล็อกนี้ก็หายไปโดยมิทราบสาเหตุ หรือเป็นเพราะคว่าผิดพลาดของ Blogspot กันแน่นะครับ ไม่รู้จะกู้คืนยังไง ก็เลย อัพรูปใหม่หมดเลยครับ และอีกประการหนึ่งที่อยากจะบอกนะครับ ก็คือว่าปัจจุบันเที่ยวบินแอร์เอเชียจากกัวลาลัมเปอร์ ไปเมืองมานาโด ที่เกาะสุลาเวสีเหนือ ได้ยกเลิกเที่ยวบินไปหมดแล้วครับ คงเหลือแต่เที่ยวบินจากกัวลาลัมเปอร์ไปมากัสซาร์ (อูจุงปันดัง) ซึ่งอยู่สุลาเวสีใต้เท่านั้นครับ ถ้าท่านอยากไปเที่ยวด้านสุลาเวสีเหนือก็ซื้อตั๋วของสายการบินไลออนแอร์เอาก็ได้ครับ เหมือนที่เราเดินทางจากเมืองมานาโดไปยังเมืองมากัสซาร์ในบทความหลังจากนี้นะครับที่ท่านจะได้อ่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ ครับ ข้อความหลังจากนี้คือบทความเก่าๆที่ผมเขียนเอาไว้เมื่อปี 2009 นะครับ (พศ. 2552) ก็จบลงแล้วกับบล็อกเที่ยวสุลาเวสีนี้นะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เจอกันอีกในบล็อกท่องเที่ยวที่อื่นๆต่อไป สำหรับท่านที่สนใจอยากไปลองสัมผัสชีวิตชาวบ้านที่สุลาเวสีก็ทำได้ไม่ยากนะครับ ตอนนี้บินกับแอร์เอเชียได้สบายมากๆ ก่อนอื่นก็บินจากเมืองไทยไปกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ก่อน แล้วก็สามารถต่อเครื่องไป เมือง มานาโด ซึ่งอยู่ทางด้านสุลาเวสี ตอนเหนือได้ครับ ถ้าอยากได้ราคาตั๋วแอร์เอเชียถูกๆก็ต้องจองก่อนเดินทางนานๆหน่อย ตอนที่เขามีโปรโมชั่นศูนย์บาทอะไรประมาณนั้นครับ เข้าไปสมัครกรอกอีเมล์ไว้ก็ได้ครับ พอมีโปรโมชั่นเขาก็จะส่งอีเมล์มาบอกเราครับ


ที่มานาโด โดยส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวจะไปดำน้ำกันที่เกาะบูนาเค็น หรือจะแค่สน็อกเคิล เหมือนพวกเราก็ได้ครับ ปะการังสวยดี หรือจะไปเที่ยวป่าตังโกโกะ ดูสัตว์แปลกๆอย่างตัวทาร์เซียส ก็ได้นะครับ ในบล็อกนี้ได้บอกวิธีไปให้หมดแล้ว ในเมืองมานาโดหรือโตโมฮอนเราก็สามารเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่เที่ยวได้ครับ (ต่อรองราคาดีๆ ประหยัดไปกว่าครึ่ง แต่พวกเราต่อรองราคากันไม่เก่ง ก็เลยดูเหมือนว่าจ่ายอะไรแพงไปบ้างในบางครั้ง)


ท่านที่จะเอาเงินไทยไปแลกที่มานาโดก็แลกได้ครับ มีที่แลก เรทดีด้วย ชื่อออฟฟิซ ฮัจญี ลาตุนรุง บนถนนบูเลอร์วาร์ด ปีแอร์เท็นดีน (ธนาคารที่มานาโดไม่รับแลกเงินไทย ครับ แลกแต่ยูโรกับดอลล่าร์อเมริกาเท่านั้นครับ)
หากท่านต้องการเดินทางจากมานาโดไปเมืองมากัสซาร์ทางสุลาเวสีใต้ ให้ท่านจองตั๋วกับไลออนแอร์ครับ จองผ่านเว็บหรือไปที่ออฟฟิซของเขาโดยตรงก็ได้ แล้วก็ให้เลือกเที่ยวเช้าสุดนะครับ จะได้ถึงมากัสซาร์ตอนเช้า แล้วก็ต่อรสบัสจากมากัสซาร์ไป ทานา ตอราจา ได้ทัน ในหนึ่งวัน แต่ค่อนข้างโหดนิดหน่อยนะครับ


หากท่านถึงสนามบินสุลต่าน ฮาซานุดดิน ที่มากัสซาร์แล้ว ท่านสามารถใช้บริการแท็กซี่เคาน์เตอร์ในสนามบิน ไปท่ารถลิธ่า บัส ได้เลยครับ รถลิธ่า บัส ออกจากมากัสซาร์ตอน 10 โมงเช้า ถึงรันเตเปาตอนค่ำๆประมาณทุ่มเศษ ให้บอกคนขับรถว่าลงโรงแรมเพียส์ ป๊อปปี้ครับ อยู่ก่อนเข้าเมืองรันเตเปาเล็กน้อย ถ้าเพียส์ ป๊อปปี้เต็มก็พักโรงแรมฝั่งตรงข้ามได้ครับ ห้องเยอะดี ไปว็อล์กอินได้เลยครับ เพราะโรงแรมพวกนี้จองทางอินเตอร์เน็ทไม่ได้
อยู่ที่รันเตเปา ก็เช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบๆเมืองได้ครับ บอกเจ้าของโรงแรมให้เรียกบริษัทรถเช่าเอามาให้ได้ครับ ถ้าว่างๆก็ไปที่ออฟฟิซการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่อยู่ในเมืองก็ดีครับ จะได้ขอแผนที่ แล้วก็ข้อมูลที่เราสามารถไปเที่ยวได้ รวมทั้งเราจะได้ทราบว่าที่ไหน เมื่อไหร่ มีงานศพ หรืองานแต่งงาน จะได้ไปแจมได้ครับ


ขากลับจากทานาตอราจา กลับมากัสซาร์ ให้ซื้อตั๋วบริษัท บินตัง ปรีม่า นะครับ อยู่ในเมืองรันเตเปาเลย มีสองรอบ 9 โมงเช้า กับ 3 ทุ่ม นะครับ ควรจองเที่ยว 3 ทุ่ม เพราะจะได้ถึงมากัสซาร์ตอนเช้าเลย จะได้เที่ยวมากัสซาร์ก่อนกลับด้วย แล้วก็ขากลับ เราก็กลับทางมากัสซาร์เข้ากัวลาลัมเปอร์ ด้วยแอร์เอเชีย ได้เหมือนเดิมครับ แต่จะถึงกัวลาลัมเปอร์เกือบเที่ยงคืน ถ้าอยากประหยัดก็นอนในสนามบินได้เลยครับ จนกว่าจะเช้า แล้วต่อเครื่องกลับประเทศไทยได้


หรือใครจะจองโรงแรมก็ขอความกรุณาช่วยคลิกหรือจองโรงแรมที่เมนูด้านขวามือด้วยนะครับ เพื่อสนับสนุนเรา สามารจองได้ทั่วโลกครับ ไม่ใช่เฉพาะที่อินโดนีเซียนะครับ


ใครมีคำถามข้องใจ เมล์มาถามได้นะครับ akeadi@gmail.com


สวัสดีครับ

Started the trip from Bangkok ; Thailand เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ

On 15th May 2009 we left from Koh Samui, the place where we work in the evening by Bangkok Airways and met some friends who went on the trip and we took an early flight in the next morning 16th May 2009 by Air Asia FD3571 from Bangkok to Kulaumpur Malaysia departure time from Bangkok was 07:10 a.m. and arrived at Kualalumpur LCCT airport at 10:15 a.m. local time. Then we had lunch there in the aiport and waited for the next flight from Kualalumpur to Manado North Sulawesi Indonesia. Our flight AK432 departed 15:50 Hrs and arrived Manado Samratulangi Airpoer at 19:40 Hrs. It was night time already and we were a little bit worry about how to go to the town because it was our first time in Manado.

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 เราได้เดินทางจากเกาะสมุยด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ไปกรุงเทพฯเพื่อที่จะต่อเครื่องและเจอเพื่อนเพื่อเดินทางต่อไปกัวลาลัมเปอร์ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ในวันรุ่งขึ้นวันที่ 16 พฤษภาคม 2552 เที่ยวบิน FD3571ออกจากกรุงเทพฯเวลา 7:10น. ถึงกัวลาลัมเปอร์ตอน 10:15 น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากนั้นก็ต้องรอเครื่องต่อไปมานาโด เกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย ตอนบ่าย ก็หาอะไรกินรองท้องไปก่อนที่สนามบิน กัวลาลัมเปอร์ เที่ยวบิน AK432 ออกจากกัวลาลัมเปอร์เวลา 15:50 น.ถึงเมื่องมานาโด สนามบินนานาชาติ ซัม ราตุลางี เวลา19:40 น.ค่ำแล้วเราก็ค่อนข้างเป็นกังวลในการหาเท็กซี่เข้าในเมืองเพราะเป็นการไปเที่ยวมานาโดเป็นครั้งแรก

This picture was taken when we were in Kualalumpur Airport waiting for the flight to Manado
รูปนี้ถ่ายตอนที่เราอยู่ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างรอเครื่องต่อไปเมืองมานาโด

First Night in Manado คืนแรกที่มานาโด

At Manado Airport, (Sam Ratulangi Airport) after we passed the passport control we had to find the taxi but not much of them and a taxi driver asked us where we want to go, we said " to Celebes Hotel " and he said 85,000 Rupiah and we asked for a little discount he said only 80,000 Rupiah and we accept because we did not know how much shoulde it cost and how far from the airport to Manado Town and we knew later that about 60,000 Rupiah is O.K. But that was O.K. for us already because we had no choice and that was our first time there.
ทีสนามบินซาม ราตุลางี เมืองมานาโด หลังจากผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเสร็จแล้ว ก็ออกมาหาแท็กซี่ข้างนอก มีลุงแท็กซี่คนหนึ่งเข้ามาถามว่าเราจะไปไหน เราบอกว่าจะไปโรงแรมเซลีเบส แกคิดราคา 85,000 รูเปียห์ เราเลยขอต่อแกบอกว่าได้ 80,000 เท่านั้น ประมาณว่าห้ามต่ออีกแต่ราก็โอเคแล้วเพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วต้องจ่ายเท่าไหร่และตัวเมืองมานาโดไกลแค่ไหน แต่เรามารู้ภายหลังว่าประมาณ 60,000 รูเปียห์ก็พอแล้ว แต่ไม่เป็นไรเพราะเราเพิ่งมาเป็นครั้งแรก



The picture above is Samratulangi Airport in the night time. After we negotiated the price the taxi driver took us to the town to Celebes Hotel. It took about 30 minutes to the town and then we checked-in for the standard room in Celebes Hotel. We planed to stay there just 2 nights first and will find another hotel later. The room price was 150,000 Rp per night, so we paid 300,000 Rp. When we saw the room, Oh my godness, no bathroom door just only the plastic curtain to close and look a little dirty. But we just told ourselves if we paid cheap we should not ask for more better room in this town. If compare with Koh Samui hotel, the place where we live 150,000 Rp is 600 Thai Baht and we already get the good room already.
ภาพข้างบนเป็นภาพภายนอกสนามบินซาม ราตุลางี ตอนกลางคืน หลังจากต่อรองราคากับลุงแท็กซี่แล้วเขาก็ส่งเราที่โรงแรมเซลีเบส ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เข้ามาในเมือง หลังจากนั้น เราเช็คอิน ห้องสแตนดาร์ดรูม เราวางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นี่แค่ 2 คืนแล้วค่อยหาโรงแรมใหม่ทีหลัง ราคาห้องต่อคืนก็ 150,000 รูเปียห์ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 บาท 2 คืนเราก็จ่ายค่าโรงแรมไป 300,000 รูเปียห์ พอเข้าไปดูห้องก็แทบช็อคเพราะว่ามันไม่มีประตูห้องน้ำ มีแต่ผ้ายางกั้น แล้วก็ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แต่ก็เอาเหอะนะ ราคาเท่านี้คิดอะไรมากถ้าเปรียบเทียบราคาโรงแรมธรรมดาที่เกาะสมุย 600 บาทนี้ก็ได้ห้องสวยๆแล้ว


The next picture will show you the front of Celebes Hotel, it looks so beautiful but the room we got was different from our imagination. After we changed our clothes and took a shower, we went outside to see around the town, and we got a little bit hungry. We saw many "rumah makan " it means restaurant but the food style look like Thai food but look not really clean enough. But, however, we chose one restaurant there and ordered food like fried fish and fried vegetables and steamed rice and we also ate Dabu Dabu, it is look like chilli sauce but we loved it because it was really nice tasce for us, like "Nam Prik Phauw" of Thai Food. We paid for our first dinner at 33,000 Rp (About 132 Thai Baht, not bad but if compare with the quality of the food in Thailand, we will have better food.) And nobody had diarrhea.



รูปต่อมาก็เป็นด้านหน้าของโรงแรมเซลีเบสที่เราเข้าพัก ข้างหน้าดูสวยดี แต่ห้องของโรงแรมไม่สวยอย่างที่คิด หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรเสร็จแล้วก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกโรงแรม รู้สึกหิวเลยจะหาอะไรกิน เจอร้านขายอาหารหลายร้านข้างถนน เรียกว่า รูมาห์ มากัน ก็แปลว่าร้านอาหารนั่นแหละ รูมาห์แปลว่าบ้าน มากัน แปลว่ากินครับ อาหารก็คล้ายๆบ้านเรามีข้าวมีแกง แต่ดูไม่ค่อยสะอาดเหมือนบ้านเราเลยแต่เราก็สั่งข้าว ปลาทอด ผัดผักมากิน เขาแถมดาบู ดาบู มาให้เราด้วย เป็นคล้ายๆซอสพริก เหมือนน้ำพริกเผา (บอกไม่ถูก) แต่ก็อร่อยดี ถูกปากคนไทยอย่างเราๆจริงๆเลย มื้อนี้จ่ายไป 33,000 รูเปียห์ครับ (ประมาณ 132 บาทไทย ค่อนข้างแพงครับถ้ากินราคานี้ในประเทศไทย ได้กินดีกว่านี้อีก แต่เรามาเที่ยวนะ ช่างเหอะ) กินเสร็จก็ลุ้นว่าจะท้องเสียกันหรือเปล่า แต่โชคดีครับ ไม่มีใครท้องเสียเลย ถือว่าโชคดีจริงๆเลยนะเนี่ย 555 (วันหลังมากินอีกก็ท้องไม่เสียครับ หลังก็ชักจะชินกับอาหารประเภทนี้ไปแล้วครับ)

Rented a motorbike to see around Manado & Tomohon เช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบเมืองมานาโดและโทโมฮอน

In the next morning we had breakfast in the restaurant on the top floor of Celebes Hotel. ( The hotel normally has breakfast included in the price.) It was boiled rice and some sausages, tea, coffee, not much things left for us becuse we woke up quite late. During the breakfast time we can see the view around the town from Celebes Hotel. The first picture is the view of Manado habour and Pasar Jengi



After breakfast we went down to the reception and asked for help from them to rent a motorbike, not much people speak English in the hotel but finally there was one girl, named Anda, a staff of the hotel reception, her English is very nice and she was the person to translate everything with her colleagues and a man, the owner of the motorbike. At first he asked us how long we needed, we said from 10:00 a.m. - 6:00 p.m. and he said 140,000 Rp (20,000 Rp per hour) and we asked for bargain and finally it was 100,000 Rp (We thought it was still expensive, but really hard to talk with them) (In Koh Samui motorbike rental for 24 hours, one day, the price is only about 200 Baht (50,000 Rp) But we paid double and not for 24 hours.)
After we paid, we went out from Celebes Hotel. We had no map yet, just a map in Lonely Planet book at it was not really clear about the road in Manado, many one way roads, and we had to turn many time before we found the way to leave from Manado.

ตื่นเช้าขึ้นมาวันรุ่งขึ้นเราก็ขึ้นไปทานอาหารเช้าที่ชั้นบนสุดของโรงแรม (ลืมบอกไปว่า ราคาห้องที่เราจ่ายคืนละ 150,000 รูเปียห์นั้น รวมอาหารเช้าด้วยซึ่งก็นับว่าดีมากเลยทีเดียวเพราะเราจะได้ประหยัดไปอีก 1 มื้อ) วันแรกที่เราไปกินค่อนข้างสายแล้วจึงเหลืออาหารไม่มาก มีแต่ข้าวต้ม ข้าวผัด ไส้กรอก ชา กาแฟ แค่นั้น แต่ทุกอย่างเหลือน้อยเต็มที จากวิวร้านอาหารที่เรานั่งกินกันจะสามารถมองเห็นเมืองมานาโดได้เกือยรอบๆเลย จะมองเห็นท่าเรือ และตลาดปลา Pasar Jengki ทานข้าวเสร็จก็ลงไปข้างล่างติดต่อรีเซ็พชั่นให้เขาต่อรองราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ให้ ตอนแรกคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะเขาไม่คุยภาษาอังกฤษกันเลย พนักงานโรงแรมก็คุยอังกฤษไม่ได้ แต่โชคดีที่วันนั้น มีพนักงานรีเซ็พชั่นผู้หญิงคนหนึ่งเธอชื่อ อันดา มาช่วยคุยให้ เป็นคนแรกที่พูดอังกฤษกับเราได้ดีที่สุดและเข้าใจที่สุด ตาลุงเจ้าของรถแกคิดเราโหดมาก ชั่วโมงละสองหมื่น เราจะเช่าถึง 6 โมงเย็น แกคิดเรา 140,000 รูเปียห์ แต่เราขอต่อเหลือแสนเดียว ประมาณ 400 บาท แกก็โอเค แต่ยังไงๆก็แพงอยู่ดี สู้ที่เกาะสมุยก็ไม่ได้ เช่า 24 ชั่วโมง แค่ 200 บาทเอง หรือประมาณ 50,000 รูเปียห์ มาเช่าที่นี่จ่ายสองเท่าเลยเหรอวะเนี่ย แถมต้องคืนรถในวันเดียวกันอีกต่างหากเฮ้อ... แพงโคตร (แต่ราคานี้แกบอกว่ารวมน้ำมันให้แล้วก็โอเค ยอมรับได้ แต่วันหลังเราก็เติมให้แกอยู่ดี สงสารแก) จ่ายเงินเสร็จ เราก็เริ่มผจญภัยในมานาโด ถนนที่นี่วันเวย์เยอะมากๆครับ เดี๋ยวไปแยกโน้มห้ามเข้าแยกนี้ วนไปวนมากลับที่เดิม โคตรฮาเลย ตลกมากๆ ต้องถามพนักงานโรงแรมใหม่กว่าออกจากเมืองไปทางไหนกันแน่




The first place we found, a chinese temple name Kienteng Ban Hian Kiong at Jalan(road) Panjaitan. The 19th century oldest Buddhist temple in eastern Indonesia and has been beautifully restored. In Lonely Planet said "The temple hosts a spectacular festival in February (date vary according to the lunar calendar)" But we did not go in February, so we missed it. In the picture here we can see the blue public car it call "Mikrolet" we can see the car like this everywhere around Manado Town and also a horse cart name "Bendi" and sometimes make the traffic slow. But it not made us boring about this, we really loved to see the real life of the people here and we can touch it. Everywhere when we got lost, the people here always told us the way with smiling face and friendly.
ที่แรกที่เราเจอคือวัดจีนสมัยศตวรรษที่ 19 ชื่อ Ban Hian Kiong ไม่รู้อ่านังไงกันแน่ อ่านไม่ออก ตั้งอยู่ที่ถนนปันไจตัน เป็นวัดในชุมชนจีนเก่าแก่ของมานาโดเขาล่ะ ถ้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็มีเทศการตรุษจีนเหมือนกันกับบ้านเราแหละครับ ในภาพนี้เราจะเห็นว่ามีรถโดยสารคันสีฟ้า เรียกว่า "มิโครเล็ท" ครับ วิ่งกนทั่วบ้านทั่วเมือง ไปทางไหนก็เจอมันวิ่งเต็มไปหมด เปิดเพลงเสียงดังโคตรๆ จนเรารู้จักเพลงหนึ่ง ชื่อ cari jodoh จารี โจโด๊ะ แปลว่า หาคู่ครับ ของวง Wali Band เปิดกันจนเราอยากรู้ว่าเป็นเพลงอะไรจนได้มาอยู่ในเครื่องโทรศัพท์เราแล้วล่ะ ใครอยากฟังเข้าไปเซิร์จฟังดูใน imeem.com นะครับ แล้วก็จะมีรถม้าที่เรียกว่า "เบ็นดี้" วิ่งปะปนกับรถราทั่วไปด้วยครับ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้รถติดได้ แต่ก็เป็นสีสันของที่เลยครับ คนที่นี่เวลาถามทางเขาจะเต็มใจตอบอย่างมากเลยครับ แล้วก็อัธยาศรัยดีมากๆ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างดี คุยกันไม่ได้ก็พาไปเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเราหาปั๊มน้ำมันไม่เจอ ถามลุงยาม แกอธิบายเราไม่ได้ เลยบอกให้เพื่อนเราคนหนึ่งรอที่นั่นแล้วขี่รถพาเราไปเติมเลย แล้วก็พากลับมา ซึ้งในน้ำใจจริงๆครับ



We went on our motorbike along Pierre Tendean Road (Boulevard) as we thought that it can be reached to Tomohon Town. (But it is not correct, to go to Tomohon Town, we have to go along Sam Ratulangi Road)

(We had found another day later that we can change the Thai currency in to Rupiah very good rate at Haji la Tunrung Star Group Office on Boulevard Pierre Tendean. Also US dollar and Euro are also better rate thant all the banks there. Because all the banks in Manado not accept Thai Baht for money exchange, only can change Euro and US dollar. For Thai Baht we had 250 Rp (If we change in Thailand just 240 Rp.)
เราขี่มอไซต์กันออกมาทางถนนปีแอร์เท็นแดน หรือ บูโลวาร์ด เพราะคิดว่ามันจะไปเมืองโทโมฮอนได้ (แต่เราคิดผิด เพราะถ้าจะไปเมืองโทโมฮอนต้องออกไปทางถนนสายหลักคือซาม ราตุลางี แต่เราหาทางออกไปซามราตุลางีไม่เจอเพราะติดวันเวย์ มั่วไปหมดเลย) ถนนปีแอร์ เท็นแดน นี้เป็นถนนเลียบชายฝั่งเมืองมานาโดเลยนะครับ ประมาณว่าเป็นเมืองใหม่ เพิ่งถมที่ถมทะเล จัดระเบียบให้สวยงาม มีห้าง มีร้านค้าเยอะแยะมากมาย KFC ก็มี วันหลังเราก็ไปกิน แต่ KFC ที่นี่ไม่มีส้อมกับมีดให้นะครับ ต้องกินกับมือ แต่มีที่ให้เราล้างมือด้วย แล้วก็กินกับข้าวสวยก้อนเบ้อเริ่มเลย กินไม่หมดครับ แล้วก็ราคา KFC ที่เขาแจ้งเราในบอร์ดราคา เวลาจ่ายตังค์ ต้องชาร์จภาษีเพิ่มจากเราอีก 7% แน่ะ ถนนเส้นนี้เราสามารถแลกตังค์ได้ที่ร้านชื่อ Haji La Tunrung Star Group ให้เรทดีมากๆ 1 บาทไทยแลกได้ 250 รูเปียห์เลยครับ เพราะที่แบงค์ที่นี่ไม่รับแลกเงินไทย รับแต่ดอลลาร์กับยูโร



We took about 30 minutes from Manado Town area and finally we arrived to a stautue or a monument look like this saying "You are leaving Manado" and we still continued along the way, we pass amny houses of the people here and there were so many churches along the road beacuse the most of Manadonese people are Catholic and Protestant.
ออกจากมานาโดได้ไม่นานเราก็มาถึงอนุสาวรีย์อันนี้ครับ มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่เขาเขียนว่าคุณกำลังออกจากเมืองมานาโด อีกด้านก็เขียนว่ายินดีต้อนรับสู่มานาโด เราก็ขับต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านบ้านเรือนผู้คนเริ่มน้อยลง และเป็นป่ามากขึ้น แต่ก็จะผ่านโบสถ์คริตส์สวยๆเยอะมาก เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ครับ มีทั้งโรมันคาทอลิกส์ และ โปรเทสแทนส์ อิสลามก็มีครับแต่ประปราย แต่ถ้าเป็นเมืองมากัสซาร์ที่อยู่ทางตอนใต้ของสุลาเวสี ที่เราเดินทางในอาทิย์ถัดไป ส่วนใหญ่อิสลามหมดเลยครับ



We passed many beautiful churches and we stopped to take the picture. This church we took while we stopped at the small kios when it was raining.
After the rain stopped, we continues the way threre and we found later that it was not the way to Tomohon but a man there said that we can continue and had to find an intersection ahead to see the way t o Tomohon. At that day it seemed that it rained and rained non stopped and we were soaked all the rain coat we had did not help anything. The road from the intersection to Tomohon town was very long for us and it was not so good condition, many holes, mud after rained, and we had to pass the mountain area where we saw like the chasm below. But finally we passed it just about 2 hours we were on motorbike in that area. The people always asked us "Dari Mana?" (Where you come from?)because we look like Indonesian people and We said "Dari Thailand (From Thailand) They always smiled and said Oh ! Thailand, Phuket ! (We don't know why they don't know Bangkok or Koh Samui but know only Phuket.) They were exciting after they knew we came from Thailand but we can not talk anything together too much because they can not speak English.)


โบสถ์หลังนี้ถ่ายตอนที่เราหลบฝนครับ เปียกหมดเลย เสื้อกันฝนลุงแกมีให้ตัวเดียว ใส่สองคนก็ไม่ได้ เล็กจริงๆ เราก็เลยยอมเปียก 1 คน ใส่ 1 คน ลุงที่เป็นเจ้าของร้านชำที่เราไปหลบฝน แกคุยภาษาอังกษได้ด้วยแหละ ไม่น่าเชื่อเลย แกบอกว่าทางที่เราจะไปไม่ได้ไปโทโมฮอน แต่ไปโทโมฮอนก็ได้ ต้องหาแยกเลี้ยวซ้ายข้างหน้า เราก็ขับต่อไปเจอแยก แต่รู้มั้ยครับว่ากว่าเราจะถึงโทโมฮอนกับทางแยกที่ลุงแกว่านั้น เกือบตาย ต้องผ่านทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ขรุขระ โคลนตมหลังฝนตก ผ่านช่วงที่เป็นหน้าผา น่ากลัว ผ่านบ้านเรือนผู้คนมากมาย แต่ก็สังเกตได้ว่า เจ้า มิโครเล็ต สีฟ้าที่บอกตั้งแต่ตอนต้น วิ่งไม่ขาดระยะเลย แทบจะบอกได้ว่ามันมีทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ถามทางผู้คนเพื่อความแน่ใจเป็นระยะๆ เขาเห็นเราเขาก็พูดภาษาอินโดนีเซียใส่ทันที แหม! นึกว่าเราพูดได้ละซี เอ๊า! ก็หน้าคนไทยกับคนอินโดมันเหมือนกันซะขนาดนั้นจะให้เขาพูดภาษาไทยใส่แกเหรอ ที่ฟังออกเพราะเจอบ่อยมากและอ่านหนังสือไปนิดหน่อย เขาจะถามว่า "ดารี ม้าน่า" แปลว่าคุณมาจากหม่องได๋เหรอ เราก็บอกว่า "ดารี ไทยแลนด์" โอ้ ไทยแลนด์ ภูเก็ต ? อะไร.. รู้จักภูเก็ตแต่ไม่ยักกะรู้จักกรุงเทพมหานครบ้านเรา หรือเกาะสมุย ที่เราอาศัยซุกหัวนอนอยู่ งง ครับ คนที่นี่ส่วนใหญ่รู้จักภูเก็ตจริงๆ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่านะเนี่ย แต่เท่าที่ผ่านมาก็จริงๆ อ่ะ แต่หลังจากนั้นก็คุยอะไรกันไม่ได้หรอก เขาก็ ไม่สปีคอิงลิชกับเรา เราก็หยิ่งครับ ไม่คุยด้วยกับแกหรอก เพราะช้านก็พูดภาษาแกไม่ได้อ่ะ



After the mountain area, we passed the rice farming area look like this picture. It still rained with small drop but we can take this picture.
หลังจากขี่ผ่านช่วงป่าเขาลำเนาไพรแล้วเราก็มุ่งหน้าสู่เขตทุ่งนาครับ ฝนยังปรอยๆอยู่แต่มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับเราหรอกนะจะบอกให้



After the rice farming area, we passed Woloan Village. The highlight of this village is the knockdown house. They built it and export around the world .
ผ่านทุ่งนาก็จะเป็นหมู่บ้านชื่อโวโลอัน ครับผม เป็นหมู่บ้านที่สร้างบ้านไม้ขาย เรียกว่าบ้านแบบน็อคดาวน์ครับ สร้างแล้วรื้อเก็บเป็นแต่ละชิ้นส่วนส่งไปขายต่างประเทศ (ส่งช่างไปประกอบให้ด้วยถึงต่างประเทศด้วยนะ )

Tomohon Town & Danau Tondano เมืองโตโมฮอนและทะเลสาบทอนดาโน

After we passed Woloan Village, finally we arrived at Tomohon Town. Tomohon Town we can see this monument and we also can see many horse cart (Bendi) again like Manado but in Tomohon, so many many of them. (We noticed that at both eyes of the horse will be closed with a small mask, and the horse will not see anything from beside but can see only at the front way, We thank that maybe it for making the horse not frightened to the horse when running on the road with may cars. At the monument here we turned to the way to Danau (Lake) Tondano. It still long way, we took nearly another 40 minutes to the lake. Before we reached to the lake it rained again, so we had to stop in a local restaurant we ordered Kopi (local coffee there) and paid for it just 3,000 Rp per glass (about 12 Thai Baht, The first we found the cheap thing here)



หลังจากผ่านหมู่บ้านโวโลอันที่ทำบ้านแบบน็อคดาวน์ (บ้านแบบน็อคดาวน์คือบ้านที่ สร้างเสร็จแล้วรื้อเก็บเอาส่วนประกอบทุกชิ้นของบ้านที่สร้างเอาไปขายที่ต่างประเทศ ส่งทางเรือ แล้วก็ไปประกอบให้ใหม่ที่ปลายทางด้วยครับ) แล้วเราก็จะมาถึงเมื่อโตโมฮอนครับ มีอนุสาวรีย์แบบในรูปอยู่ที่วงเวียนนะครับ ที่เมืองโตโมฮอนนี้จะมีรถม้าที่เรียกว่า เบ็นดี้ เยอะกว่าที่มานาโดซะอีกนะครับ เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าที่ตาของม้ามันจะมี คล้ายๆหน้ากากอันเล็กเล็กปิดตาด้านข้างของม้าอยู่ ซึ่งม้าจะมองเห็นเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เพื่อไม่ให้ม้าตกใจเวลาวิ่งบนถนนกับรถยนต์ทั่วไป การจะไปทะเลสาบทอนดาโนเราจะต้องเลี้ยวไปทางที่มีป้ายที่วงเวียนเลี้ยวซ้ายไปทางนั้นอีกประมาณ 40 นาทีกว่าจะถึงทะเลสาบครับ แต่ก่อนจะถึงทะเลสาบฝนเจ้ากรรมก็ดันตกมาอีกแล้วครับท่าน เบื่อจริงๆ ก็เลยต้องแวะร้านข้างทางหลบฝน สั่งเครื่องดื่มมาดื่ม ชื่อโกปี ที่จริงมันก็คือโกปีที่บ้านเรานี่แหละ มันก็คล้ายๆกาแฟคล้ายๆ โอเลี้ยงบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ แต่กินเสร็จก็จ่ายไปแค่แก้วละ 3,000 รูเปียห์ ประมาณ 12 บาทไทย เพิ่งเจออะไรราคาถูกๆที่นี่เป็นครั้งแรกครับ



The next picture is showing you a view from the restaurant that we had the Kopi and at the front of the mountain in the picture is Tondano Lake. We left the reastaurant after the rain stopped and passed the village af Tondano people and the rice field. That was really beautiful picture. But look, another rain will come again very soon, So we had to rush to the lake as soon as possible.
ภาพต่อมาเป็นภาพที่ถ่ายจากร้านอาการที่เราไปกินโกปีครับ เบื้องหลังเป็นวิวของทะเลสาบทอนดาโนที่มองอยู่ด้านหน้าภูเขาที่อยู่ด้านหลัง เราออกเดินทางกันต่อ ผ่านหมู่บ้านผู้คนที่ทอนดาโน ผ่านทุ่งนาเขียวขจี สวยมากครับๆครับ ชอบจริงๆเลย แต่ดูสิครับ ฝนตั้งเค้ามาอีกแล้ว เมืองนี้น่าเบื่อที่สุดก็น้จะเป็นเรื่องฝนเนี่ยแหละ (ขอคอมเพลนซะหน่อย เพราะว่าเปียกมาทั้งวันแล้ว) ก็เลยต้องรีบไปให้ถึงทะเลสาบให้เร็วที่สุดครับ


This picture is the beautiful rice field that we passed before arrived the Tondano Lake, but in cloudy nearly rained.

ภาพนี้คือทุ่งนาที่เราผ่านก่อนจะถึงทะเลสาบทอนดาโนครับ สวยดี แต่ฟ้าครึ้มมากๆครับ ฝนกำลังจะตกลงมาอีกรอบแล้ว ต้องรีบๆ



We arrived at the lake, there were some restaurants along the lake's coast and we chose one reastaurant name Lour Camp (the owner said that it means " water" in Manadonese Language but we are not sure that what it exactly means?)
We ordered steamed rice, fried fish, fired vegetable and dabu dabu, that was very delicious meal for us because we were very hungry at that moment. We paid for the food here 54,000 Rp (about 216 Baht ) You can see the next picture what we had for this meal. In Tondano Lake while we were having lunch (in the late afternoon time), we saw many local people crossing the lake in the small boat in the rain. The boat there has 2 bamboo outriggers side to keep balance of the boat

เรามาถึงทะเลสาบทอนดาโนแล้ว มีร้านอาหารริมทะเลสาบตลอดทางเลย เราเลือกแวะที่ร้าน Lour Camp ถามเจ๊ผู้จัดการร้านแกบอกว่าแปลว่าน้ำ เป็นภาษาท้องถิ่นมานาโด แต่พอไปถามอันดา พนักงานที่โรงแรมเขาบอกว่าไม่ใช่ เลยไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรกันแน่ หรือว่าที่โน่นมีหลายคำเป็นภาษาถิ่นเฉพาะกลุ่ม เฉพาะหมู่บ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ สั่งข้าวมากินด้วยความหิวเพราะเป็นอาหารเที่ยงตอนบ่ายแก่ๆแล้ว อร่อยมากๆ ข้าว ปลาทอด ผ้ดผัก แล้วก็ดาบู ดาบู กินแค่นี้แหละครับสองคน ปาเข้าไป 54,000 รูเปียห์ครับ แพงนะ แต่ก็ไม่เป็นไร อร่อยครับ หรือว่าเป็นเพราะหิวก็ไม่รู้ ระหว่างที่ทานข้าว ฝนก็ยังตกพรำๆไม่ขาดระยะ มองไปในทะเลสาบเห็นชาวบ้านที่นี่เขาเดินทางข้ามทะเลสาบกันด้วยเรือลำเล็กๆ ติดเครื่องยนต์ แต่จะมี ไม้ไผ่เป็นโครงยื่นออกไปทั้งสองด้าน เพื่อรักษาสมดุลของเรือไม่ให้คว่ำ แต่เรือแบบนี้เราก็หาดูได้ทั่วทุกที่ในอินโดนีเซียแหละ ที่บาหลีก็เคยเห็นเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ



After lunch, we went back to Manado, we had to head back to Tondano Village, Tomohan Town and then Manado Town. The road betaween Tomohon and Manado was very difficult for us in the first time because we had to up the hill, down the hill along the road, many many mountains and it also rained. The distace is only about 30 Kms from Tomohon to Manado, but we took nearly 2 Hours to reach Manado. Very tired for the first day experience in North Sulawesi. When we arrived at the hotel, the owner of the motorbike had been waiting for us alreday. We thought that we charged us more because be came back later than 6:00 p.m. but he didn't. So, we were happy and planed to rent is motorbike again next morning.
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จเราก็กลับมานาโดเลยครับเพราะเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ก็ต้องนั่งมอเตอร์ไซต์ผ่านหมู่บ้านที่ทอนดาโน ผ่านเมืองโทโมฮอน กอนถึงมานาโด ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตรระหว่างโทโมฮอนกับมานาโด แต่เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เพราะว่าฝนตก ถนนก็ขึ้นเขาลงเขา โค้งเยอะมากๆครับ ไปถึงโรงแรมเกือบ 1 ทุ่ม ลุงเจ้าของรถรออยู่แล้ว คิดว่าแกคงขอค่าเช่าเกินเวลาแน่ๆเลย แต่ว่าเปล่า แกไม่คิดค่าเกินเวลาครับ เราก็เลยคิดว่ารุ่งขึ้นจะใช้รถแกอีก


The last one is the picture of a house in Tondano Lake nearby the restaurant where we had lunch.ภาพสุดท้ายเป็นบ้านที่อยู่ในทะเลสาบทอนดาโนนะครับ ข้างๆร้านอาหารที่เราไปกิน

Next topic :
Visited Big Jesus Monument and Bukit Kasih บทความถัดไป : ชมอนุสาวรีย์พระเยซู และบูกิตกาซิห์
Previuos topic :
Rented a motorbike to see around Manado & Tomohon บทความก่อนหน้า : เช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบเมืองมานาโดและโทโมฮอน

Visited Big Jesus Monument and Bukit Kasih ชมอนุสาวรีย์พระเยซู และบูกิตกาซิห์

Next morning on 18th May 2009 (4th Day of the trip) we went up to the restaurant of the hotel again and had breakfast, the same kin of food but the fried rice mixed with the salted fish meat and boiled rice had some peanut and corn inside. During the breakfast we can see Manado view in another conrner. In this picture we can see many boats anchored at the pier, many workmen were carrying the goods in and out from their boats. Behind this picture we can see Manado Tua Island and Bunaken Island on the right. (The island that look like the mountain is Manado Tua and the small flat one in Bunaken Island) After finished the freakfast, we went down to the reception and paid for one more night another 150,000 Rp gone. And we rent the same motorbike from the same owner. He looked quite happy as he did not have to work like motorbike taxi that day again.



วันต่อมาซึ่งเป็นวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 (วันที่ 4 ของการเดินทาง) ตื่นขึ้นมาเราก็ขึ้นไปกินข้าวที่ชั้นบนอีกรอบครับ วันนี้เมนูเหมือนเดิมไม่มีผิดแต่ข้าวผัดวันนี้ใส่ปลาเค็มครับ กินอร่อยแบบแปลกๆ คือแบบว่าอร่อยแต่สู้บ้านเราไม่ได้ประมาณเนี้ยะ แล้วก็ข้าวต้มก็ใส่ถั่วลันเตากับข้าวโพด ก็อร่อยดี แต่พองๆแก้ม ถึงอย่างไรก็ตามเราก็กินจนเต็มท้อง แบบว่าไม่ต้องหิวตอนไปเที่ยวมากนัก และจะได้ประหยัดตังค์ค่าอาหารด้วยครับ ระหว่างทานอาหารเราก็ถ่ายรูปไปด้วยครับ รูปแรกนี้เป็นรูปอีกมุมหนึ่งของท่าเรือ มีเรือขนส่งสินค้าจอดอดสมอที่ท่าเรือหลายลำ คนงานขนของเข้าขนของออกจากเรือตัวเองอย่างขมักเขม้น ด้านหลังลิบๆของรูปจะมองเห็นเกาะมานาโดตัวและเกาะบูนาเค็นครับ (อันที่เหมือนภูเขากลางทะเลคือเกาะมานาโดตัว และ อันแบนๆข้างๆทางซ้ายคือเกาะบูนาเค็นครับ) ทานข้าวเสร็จเราก็ลงกันมาข้างล่างจ่ายตังค์ค่าห้องเพิ่มอีก 1 คืน หมดไปอีก 150,000 รูเปียห์ แล้วก็ไช่มอเตอร์ไซต์ตาลุงนั่นอีก 100,000 รูเปียห์ (ดูลุงแกมีความสุขมากเลยที่เราเช่ารถแกอีกวันเพราะว่าแกไม่ต้องวิ่งมอไซต์รับจ้างทั้งวันเลยอีกวัน)


We went out from Manado Town along Sam Ratulangi Road (with got lost again long time) And we arrived at the Citra Land on the way to Tomohon, The Citra land is the project houses for sell and waterpark. ได้มอเตอร์ไซต์ก็ออกมานอกเมืองตามถนน ซาม ราตุลางี ครับผม แต่ก็หลงวันเวย์เช่นเคยครับกว่าจะหาทางออกได้ แต่เราเก่งครับ หาเจอจนได้ (ลืมบอกไปว่าที่สนามบินซาม ราตุลางี ไม่มีข้อมูลท่องเที่ยวหรือแผนที่ให้นักท่องเที่ยวเลย หรือว่าเราหาไม่เจอเองก็ไม่รู้ แต่แผนที่ที่เราได้มาเป็นแผ่นพับโบรชัวร์ เราไปขอมาจากโรงแรมซาฮิตคาวานัวที่อยู่แถวๆปาซาร์45 ใกล้ๆโรงแรมเซลีเบสครับ เพราะที่โรงแรมเซลีเบสก็ไม่มีเหมือนกัน แต่ขึ้นชื่อว่าแผนที่ยังไง้ยังไงก็ไม่อัพเดทถูกหมดเหมือนสถานที่จริงทุกอย่าง ต้องทำเรางงจนได้แหละน่า แต่เอาเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรดู ยิ่งแผนที่ในโลนลี่แพลนเน็ทยิ่งแย่ไปใหญ่ ไม่มีรายละเอียดเอาซะเล้ย ในโลนลี่แพลนเน็ทบอกว่ามีสำนักงานการท่องเที่ยวที่เราสามารถขอแผนที่ได้ที่ ถนน Diponegoro 111 แต่ปรากฎว่าเขาย้ายไปแล้ว เพิ่งมารู้ตอนมีแผนที่แล้วว่ามันย้ายมาอยู่ที่ ถนนซามราตูลางี ข้างปั๊มน้ำมัน Wanea) ออกมานอกเมืองก็จะเจอปั๊มน้ำมัน แวะเิติม 10,000 รูเปียห์ ได้มาค่อนถังรวมกับที่มีอยู่ก่อนก็เกือบเต็มถัง เพราะวันนี้เรามีแพลนจะไปไกลครับ

There is a big Monument of Jesus on the mountain cliff and also there is a clock tower name Big Ben of Sulawesi too. We were invited by the ladied who worked there inside the project to escape the rain and told us to go up the stairs to the statue of Jesus above. There were many steps and took about 10 minutes to walk up untill the base of the statue on the mountain. ออกเมืองมาสักครู่ก็จะเจอซิตร้าแลนด์ครับ (คนละเจ้าของกับซิตร้าครีมทาผิวนะครับ) อยู่ระหว่างทางที่จะไปเมืองโทโมฮอน เมื่อวานขับมอไซต์ผ่านเหมือนกันตอนกลับมาจากโทโมฮอนแต่ไม่ได้สังเกตเพราะว่าฝนตกและมืดค่ำด้วย ซิตร้าแลนด์เป็นบ้านจัดสรรค์ครับ แล้วก็มีสวนน้ำที่เปิดให้คนภายนอกเข้าไปเล่นได้ด้วยแต่จ่ายตังค์นะ ไม่รู้เท่าไหร่เหมือนกัน ไม่ได้เข้าไปเล่น แต่จุดเด่นของที่นี่คืออนุสาวรีย์พระเยซูคริสต์สูงเด่นตระหง่านอยู่บนยอดเขา จำไม่ได้แล้วครับว่าสูงกี่เมตร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ Monumen Yesus Memberkati ก็แปลเป็นไทยว่าอนุสาวรีย์พระเยซูประทานพร อะไรทำนองนี้แหละครับ 



After came down from the statue it was very heavy rained again and we had to stop there nearly 1 hour. One lady in the office there can speak English very well, and when she knew we came from Thailand, she and her friends were very surprise and asked us many things about Thailand. We aksed them the way to Bukit Kasih and they drew a map for us to Bukit Kasih.




ด้านข้างมีหอนาฬิกาชื่อบิ๊กเบ็นด้วยครับ แต่บิ๊กเบ็นแห่งมานาโดนะครับไม่ใช่ลอนดอน เราได้รับคำชักชวนจากสาวๆที่ทำงานในร้านขายของด้านล่างให้ขึ้นไปที่ฐานพระเยซูข้างบน เพราะข้างบนวิวสวย เราก็ขึ้นไปครับ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ระหว่างทางก็จะมีป้ายที่ทำจากหินอ่อนมีรูปพระเยซูและคำสอนต่างๆเป็นภาษาอินโดนีเซีย เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะผมเป็นพุทธครับ ไม่รู้เรื่องคริสต์สักเท่าไหร่เลยไม่อ่าน ถ่ายรูปมาเฉยๆแต่ขี้เกียจเอามาลงให้เพราะว่ามันเยอะมากๆๆๆๆ เกือบ 30 ป้ายแน่ะกว่าจะถึงบนยอดฐานพระเยซู ขึ้นไปได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว หนักซะด้วยต้องรีบวิ่งลงเป็นการใหญ่ แล้วก็รอฝนหยุดอีกเกือบชัวโมง ระหว่างที่รอก็สั่งเครื่องดื่มมาดื่มนิดหน่อย สาวนางหนึ่งที่ร้านคุยอังกฤษได้ก็เข้ามาชวนคุยพอรู้ว่าเรามาจากไทยแลนด์ ถามโน่นถามนี่ใหญ่เลย เพื่อนๆเธอที่พูดอังกฤษไม่ได้ก็ถามโน่นถามนี่กับคุณเธอมาอีกที แหม! รู้สึกตัวเองเหมือนดารายังไงยังงั้นเลยงานนี้ เราก็ถามทางที่จะไปบูกิต กาซิห์ หรือ หุบเขาแห่งความรักครับ (บูกิตแปลว่าภูเขา กาซิห์แปลว่ารักครับ) พวกเธอก็ช่วยกันวาดแผนที่ให้พวกเรา แต่ก็ไม่ละเอียดมาก เราต้องหาทางไปอีกมากและต้องถามผู้คนไปเรื่อยๆตลอดเส้นทางอยู่ดีครับ



After got wet in the rain and asking the way all along the time, finally we arrived Bukit Kasih. We paid for the entrance fee 1,500 Rp per person. Bukit Kasih has a prominent statute of 4 religions in Indonesia, Muslim, Christian, Hindu and Buddhist. Each side has the sign or the symbol of each region. หลังจากเปียกมะล่อกมะแล่ก กับการหาทางไปบูกิต กาซิห์ และต้องถามทางกับชาวบ้านตลอดที่เจอทางแยก เราก็มาถึงจนได้ จ่ายค่าเข้าคนละ 1,500 รูเปียห์ แล้วก็เข้าไปถ่ายรูป บูกิต กาซิห์ จะเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักของสี่ศาสนาในอินโดนีเซียคือ อิสลาม คริสต์ ฮินดู และพทธ ครับ



We took the pictures from all sides but show in this blog only Buddist side that showing the Buddha Image and the stupa of Borobudur in Yogyakarta in Java Island and below it is the alphabet writing the Buddhist chanting. แต่ละด้านก็จะมีสัญลักษณ์และคำสอนของแต่ละศาสนา ที่จริงถ่ายมาทุกด้านครับแต่เอามาโชว์แค่ของสาสนาพุทธพอครับ เป็นรูปพระพุทธองค์ ด้านหลังเป็นสถูปคู่ที่เป็นสัญลักษณ์จำลองมาจากบุโรพุทโธ ที่เมืองย็อกยาการ์ตา บนเกาะชวาครับ ด้านล่างก็มีคำสวดมนต์นโมตัสสะภควโต....เขียนเป็นภาษาอินโดครับ


In this area we can see the smoke from the sand because it is located in the volcano area. We smelled a little of the sulfur but not too strong, there was a stream that in the middle of the water current was destroyed by the acid and the water always gray. In the water, the local peple can boil the eggs, the maize for sell in the local restaurant behind the statue. รอบๆบริเวณบูกิต กาซิห์จะมีควันออกมาจากใต้ดินตลอดเลยครับ เพราะอยู่ในบริเวณภูเขาไฟ เราก็ได้กลิ่นกำมะถันนิดๆครับ ข้างๆมีลำธารที่น้ำไหลมาจากภูเขา แต่น้ำเป็นสีเทาข้นมากๆ เป็นดินผสมน้ำจากใต้ดินด้วยจากภูเขาด้วยไหลลงมา ตรงกลางลำธารจะเป็นร่องลึกลงไปอีกเพราะว่าโดนกรดจากน้ำกัดเซาะอยู่ตลอดเวลา ชาวบ้านเอาไข่ เอาข้าวโพดมาใส่กระสอบมาวางในบึงที่เป็นน้ำพุร้อนนี้แล้วก็เอาไปขาย แต่เราไม่กล้าซื้อกิน กลัวไม่สะอาด



We got hungry and ordered Nasi Koreng Ikan (Fried Rice with the fish) and also we requested Dabu Dabu from the restaurant and during we were eating we saw the local people were dipping their feet in the bucket of the hot water from the hot spring and we also ordered one for us, it costed 20,000 Rp It was very very hot water but we felt so relax at our feet. And the fried rice cost 25,000 Rp per person. แต่ก็ไปสั่งข้าวผัดปลาจากร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่แช่ข้าวโพดในบึงน้ำพุร้อนสีเทานี้ อร่อยมากๆ เราขอดาบูดาบูด้วย อร่อยจริงๆครับ ระหว่างกินข้าวก็เห็นเด็กในร้านเอาถังใส่น้ำร้อน ไม่แน่ใจว่าเอามาจากไหน เห็นตักเอามาจากหลังร้าน น้ำใสนะ แต่ร้อน แล้วก็เอามาให้ลูกค้าแช่เท้า เราเห็นก็ลองขอด้วย เขาคิดตั้ง 20,000 รูเปียห์แน่ะ 80 บาท ค่าข้าวก็คนละ 25,000 รูเปียห์ น้ำที่แช่เท้า ร้อนได้ใจจริงๆ แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายมากเลย เพราะเราเท้าเปียกน้ำทั้งวันเพราะตากฝน แล้วก็หนาวด้วย พอมาเจอน้ำนี้เข้า บอกได้เลยว่าสุดยอดครับ


After that, we went back to Manado and returned the motorbike to the owner.

Tangkoko-Batuangas Dua Saudara Nature Reserve เที่ยวป่าตังโกโกะ

Next morning, on 19th May 2009, after we had breakfast we went down to the recptin and checked-out. We asked them to leave our baggage in Celebes Hotel and bring our important stuffs for Tangkoko Park.
To go to Tangkoko Park, we walked along Sam Ratulangi Road (only walk, can not go by the car because it is against the one way) We walked just 200 meters long then arrived at the Zero Point. At the Zero Point we turned left to the Sudirman Road to wait for the Mikrolet that showed the sign " Paal 2 " (Pronounce Paal Dua; it is the terminal for the bus and mikrolet around the town, Bus to Bitung or Mikrolet to Sam Ratulangi Airport) The mikrolet took about 20 minutes from Zero Point to Paal 2 Terminal and we paid just 2,000 Rp (8 Baht) per person. When we got off from the mikrolet, a bus boy was shouting "Bitung Bitung Bitung..." Then we got in that bus. It was

To go to Tangkoko Park, we walked along Sam Ratulangi Road (only walk, can not go by the car because it is against the one way) We walked just 200 meters long then arrived at the Zero Point. At the Zero Point we turned left to the Sudirman Road to wait for the Mikrolet that showed the sign " Paal 2 " (Pronounce Paal Dua; it is the terminal for the bus and mikrolet around the town, Bus to Bitung or Mikrolet to Sam Ratulangi Airport) The mikrolet took about 20 minutes from Zero Point to Paal 2 Terminal and we paid just 2,000 Rp (8 Baht) per person. When we got off from the mikrolet, a bus boy was shouting "Bitung Bitung Bitung..." Then we got in that bus
a white air-conditioned bus and looked a quite old, the seats were covered by the yellow cloth and there were some plastic chairs for the spare seats.(Normally has both air-conditioned and non air-conditioned bus from Manado to Bitung.) Many children came up in the bus and asking us for buying something from them, we bought only one bottle of water per person 2,500 Rp (10 Baht) A boy asked us to buy a newspaper from him but we negated because it was Indonesian Language but he still tried many times to sell the newspaper to us. Then we said "Tidak mau, terima kasih, bukan orang Indonesia, dari Thailand" After he knew that we are not indonesian, he told his friends to come in the bus to sell many things again. It was very funny because it made us felt like the situation in the bus in our country when the bus stopped and many people came up in the bus to sell something to the passengers in the bus.The bus left Paal 2 Terminal and took about 1 hour to Tangkoko Terminal. From Tangkoko Terminal we took a mikrolet to Girian. From Girian we waited for the pick-up car to transfer us to Batuputih Village where the Tangkoko Park is located. We waited quite long time but no pick-up left from the queue, because there were not other passengers. 2 guys in that area asked us to go with them if we paid 20,000 Baht per person for motorbike taxi. We agreed immediatly because it was so long time waiting there already. (If we went by pick-up normally it costed only 7,000 Rp per person.) But we can say, by this price 20,000 Rp per motorbike is very good price because from Girian to Batu Putih Village is about 35 kilometers long and has to take about 40 minutes on the motorbike or the pick-up car because the way to get there is in the mountain area and the road will up down up down and there are many curves along the way.


วันถัดมาเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2552 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเราก็เช็คเอ้าท์แต่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เลือกเอาเฉพาะของที่จำเป็นเพราะว่าจะกลับมาเช็คอินอีกรอบหลังจากกลับมาจาก ป่าตังโกโกะแล้ว การเดินทางไปตังโกโกะนั้นง่ายมากครับ แต่ก่อนที่เราจะไปตอนนั้นรู้สึกกลัวเหมือนกันเพราะทุกคนส่วนใหญ่ไปกับทัวร์ หมดเลย แต่ถ้าไม่ไปเองก็ไม่รู้ครับว่ามันจะเป็นอย่างไร วิธีการไปก็คือ จากโรงแรมเซลีเบสให้เดินไปตามถนนซาม ราตุลางี ประมาณ 200 เมตรก็จะถึงทางแยกที่เรียกว่าซีโร่พอยท์ครับ (เดินอย่างเดียวนะครับ นั่งรถไม่ได้เพราะจะย้อนศรวันเวย์) แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปทางถนน สุดีร์มาน (Jalan Sudirman) แล้วก็รอรถมิโครเล็ตอยู่ตรงนั้น รอสายที่เขียนว่า "Paal 2" อ่านว่าปาล ดูอา นะครับ เป็นชื่อของท่ารถสายที่เราจะไปทางบีตุงนะครับ แล้วก็เป็นท่ารถที่เราสามารถต่อมิโครเล็ตสายที่ผ่านสนามบินจากที่นี่ได้ด้วย รอไม่นานรถสายปาล ดูอา ก็มาครับ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงปาล ดูอาครับ จ่ายค่าโดยสารไปคนละ 2,000 รูเปียห์ครับ (8 บาท) พอลงรถปุ๊บก็เดินหารถบัสสายที่จะไปบีตุงครับ ก็ได้ยินเด็กรถตะโกนเรียกผู้โดยสาร " บีตุง ๆๆๆๆๆๆ" เราก็ขึ้นไปนั่งรอเลยครับ เป็นรถบัสคันสีขาว เก่ามากๆ แต่ติดแอร์นะครับ (คันที่ไม่ติดแอร์ก็มีครับ แล้วแต่คิว) เบาะนั่งคลุมด้วยผ้าสีเหมือนจีวรพระเปี๊ยบเลย หว่างที่รอ เด็กๆแถวนั้นก็เอาของขึ้นมาขาย มีน้ำดื่มใส่ขวด ถั่วต้ม อะไรทำนองเนี้ย เหมือนบ้านเราไม่มีผิด มีเด็กอยู่คนหนึ่งจะเอาหนังสือพิมพ์มาขายเราให้ได้ ตื๊ออยู่นั่นแหละ จนเราต้องบอกว่า "ตีด๊ะมาอู เตอริมา กาซิห์ บูกัน ออรัง อินโดนีเซีย ดารีไทยแลนด์" ซึ่งก็แปลได้ว่าไม่เอาครับ ขอบคุณ ไม่ใช่คนอินโดนีเซียครับ มาจากประเทศไทย เด็กนั่นก็ร้องอ้อ แล้วก็ลงไปบอกเพื่อนๆเขาว่าเรามาจากไทยแลนด์เป็นนักท่องเที่ยว พวกเด็กๆก็ขึ้นมาจะขายของเราอีก ก็เลยซื้อน้ำขวดเดียวครับ 2,500 รูเปียห์ (10 บาท) พอซื้อน้ำเสร็จ เด็กคนนั้นก็จะให้เราซื้อหนังสือพิมพ์อีก เราบอกเป็นภาษาไทยครับว่า"อ่านไม่ออก" ทีนี้เวลาเด็กนั่นพูดอะไรเราก็พูดภาษาไทยใส่มัน มันคงรำคาญเลยยอมจากเราไปแต่โดยดี ภายในรถจะสังเกตได้ว่ามีเก้าอี้เสริมด้วยครับ ซึ่งก็โชคดีที่เรามาขึ้นก่อนไม่ต้องนั่งเก้าอี้เสริม เพราะว่าคงทำใจลำบากตอนรถเบรคอ่ะครับน่ากลัว แต่เท่าที่สังเกต คนที่นั่งเก้าอี้เสริมก็มิได้สะทกสะท้านอะไรเลย ตอนเบรคก็ไม่เคลื่อนที่ด้วย อาจจะเป็นเพราะว่ารถแน่นด้วยมั้งเพราะข้างในค่อนข้างแคบด้วยที่นั่งเสริมก็ เลยไม่เคลื่อนที่ตอนรถเบรค รถบัสออกจากปาลดูอา ประมาณ 10 โมงเช้า สักครู่เด็กรถก็มาเก็บตังค์ เราบอกว่าไป Terminal Tangkoko (ต้องเรียกว่า เทอร์มินอล ตังโกโกะ นะครับเพราะภาษาอินโดมีลักษณะเหมือนภาษาไทยตรงที่คำขยายหรือชื่อสถานที่ต้อง ตามหลังคำนามนะครับ) เด็กนั่นคิดเรา คนละ 10,000 รูเปียห์ครับ ประมาณ 40 บาท รถวิ่งมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ก็ดั๊น มาเสียกลางทางครับ ใกล้จะถึงเทอร์มินอลตังโกะอยู่แล้วเชียว (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ครับว่าใกล้ถึงเทอร์มินอลตังโกโกะแล้ว เพิ่งมารู้ตอนขากลับ) ผู้โดยสารก็เริ่มทะยอยลงจากรถบัสไปขึ้นมิโครเล็ตกันตามสายที่ตัวเองจะไป เราก็คิดว่ายังไม่ถึงครับก็เลยไม่ลง กะว่ารถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้นครับ แต่นานครับ ไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทติดเลย คนลงหมดแล้ว ทีนี้ทนอยู่ไม่ได้แล้วครับ ซี้แหงแก๋ ถ้ารออยู่อย่างนั้น เลยตัดสินใจถามคนขับรถว่า (เป็นภาษาอังกฤษ) อีกไกลมั้ย เทอร์มินอลตังโกโกะ น่ะ แต่คิดเหรอว่าเขาจะเข้าใจเรา




ก็เลยใช้ไม้ตาย งัดเอาคำศัพท์ภาษาอินโดเท่าที่จำได้มาประมวลผลครับ Saya mau pergi ke Batu Putih, Di mana Girian? ผมอยากไปบาตูปูติห์ครับ แล้วกีเรียนอยู่ที่ไหน (ความหมายของผมก็คือ จะไปป่าตังโกโกะที่อยู่ที่หมู่บ้านบาตูปูติห์ แต่ต้องไปต่อรถที่กีเรียนก่อน ถึงจะไปบาตูปูติห์ได้) คนขับก็เลยร้อง อ๋อ..แล้วก็เรียกมิโครเล็ตให้เราคันหนึ่งมีผู้โดยสารอยู่แล้วด้วย บอกให้พาเราไปกีเรียน เฮ้อ..โล่งอกครับ นึกว่าจะไม่เข้าใจซะแล้ว แต่ยังครับ ยังไม่จบ ก็อีตาคนขับมิโครเล็ตคันนั้นนะสิ มันเข้าไปส่งผู้โดยสารที่เทอร์มินอลตังโกโกะก่อน เราก็คิดว่าถึงแล้ว ก็เลยลง เพราะผู้โดยสารลงเกือบหมด คนขับรถก็ถามเราประมาณว่าไปไหน เราบอกว่า กีเรียน แกเลยพูดอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ออก แต่เรียกให้เรากลับขึ้นรถไปใหม่ (ใครจะไปรู้ล่ะ ก็นึกว่าถึงกีเรียนแล้ว เป็นท่ารถเหมือนกัน) ไม่นานแกก็พาเรามาลงที่หน้าร้านขายวัสดุก่อสร้างแล้วบอกให้เราลง เราชักเอะใจก็เลยถามอีกที Ini Girian? ที่นี่ใช่มั้ย (อันนี้พอถูไถนะครับ ไม่แน่ใจว่าถูกไวยากรณ์อินโดหรือเปล่านะ แต่ใช้เอาตัวรอดได้ในยามคับขันครับ) เขาก็พยังหน้าบอกว่าใช่ เลยจ่ายตังค์ เขาคิดค่าโดยสารคนละ 5,000 รูเปียห์ รู้แหละว่าคิดเกินราคา แต่ช่างเหอะ เรารวย ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เพราะพูดภาษาเขาไม่ได้


ความจริงกีเรียนไม่ได้เป็นท่ารถอย่างที่เรา จินตนาการไว้ครับ มันคือปากซอยที่คนรอรถเพื่อเข้าไปหมู่บ้านบาตูปูติห์ครับ ซึ่งตาลุงมิโครเล็ตนั้นก็พาเรามาถูกที่แล้วครับ รถโดยสารที่จะไปบาตูปูติห์เป็นรถกระบะสี่ล้อเล็ก ข้างหลังที่ปิ๊กอัพมีม้านั่งเป็นแถวๆประมาณ 4 แถว ให้ผู้โดยสารนั่ง แต่เรารอตั้งนาน ไม่มีผู้โดยสารอื่นมารอเลย เขาก็ไม่ออกรถ มีวัยรุ่นสองคนเข้ามาเสนอราคาให้เราไปกับมอเตอร์ไซต์เดี๋ยวเขาจะไปส่ง เราจะไปพักโฮมสเตย์ไหน เราบอกว่า มาม่ารูส โฮมสเตย์ (Mama Roos Homestay) เขาคิดเราคนละ 20,000 รูเปียห์ เราก็เอาครับเพราะขี้เกียจรอแล้ว คนละ 80 บาทก็คุ้มครับ เพราะระยะทางจากกีเรียนไปบาตูปูติห์ก็ประมาณ 35 กิโลครับ ทางที่ไปก็ขึ้นเขาลงเขา โค้งเยอะแยะมากมาย กว่าจะถึงก็ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีแนะ (ที่บาตูปูติห์มีโฮมสเตย์สามที่นะครับอยู่ติดๆกันเลย คือ มาม่ารูส โฮมสเตย์ แรงเจอร์ โฮมสเตย์ และ ทาร์เซียส โฮมสเตย์ครับ ท่าเก๋าสุดและออริจินอลสุดก็มาม่ารูสครับผม)



We arrived at Mama Roos Homestay already. A man name "Andre"(the man in black T-shirt in the next picture he is also a ranger and works in Mama Roos Homestay.) invited us to take a rest and served us the water and later a bowl of noodles. He told us the price of the room 250,000 Rp per night included 3 meals, afternoon trekking trip to see the tarsiers 85,000 Rp per person and morning trekking trip to see black macaques and red-knobbed hornbills also 85,000 Rp per person. To ask the room availability , you can send the e-mail to ask Andre at turacuena_manadensis@yahoo.com he will check e-mail once a week. Or you can call to "Semuel" (Our trekking guide and the younger brother of Mama Roos's owner) at +6281340407690 Andre gave us a room in the next picture. We took a shower and walked along the road from Mama Roos Homstay untill to the beach.

พอเราลงจากมอเตอร์ไซต์ อังเดร(เป็นไกด์ แล้วก็ทำงานในมาม่ารูส โฮมสเตย์ครับ) ก็มาต้อนรับเราครับ อังเดรบอกว่าเคยมีกรุ๊ปคนไทยมาดูนกที่นี่ก่อนที่เราจะมาเมื่อปีที่แล้ว จริงๆแล้วเราไม่ได้จองที่พักกับที่นี่ก่อนเลยเพราะว่าเมล์ที่ให้ในโลนลี่แพ ลนเน็ทมันไม่อัพเดทครับ ติดต่อใครไม่ได้ มาครั้งนี้ก็คือมาแบบเสี่ยงดวงมากๆครับ คิดว่าถ้ามาม่ารูสเต็มก็จะไปที่แรงเจอร์โฮมสเตย์ แต่มาม่ารูสว่างครับก็เลยพัก แต่ถ้าใครจะมา ก็เมล์มาถามห้องว่างกับอังเดรได้ครับที่ turacuena_manadensis@yahoo.com หรือโทรถามเซอมูเอ็ล ได้ครับ ที่
+6281340407690 (เซอร์มูเอ็ล เป็นไกด์เดินป่าของเราครับ แล้วก็เป็นน้องชายของเจ้าของมาม่ารูสด้วยครับ นิสัยดีมาก น่ารัก เป็นกันเองสุดๆครับ วันกลับยังเอาเสื้อรูปนกที่กรุ๊ปคนไทยเคยให้เขาไว้ใส่มาให้เราดูเลย ก็ด้วยความเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นกันเองละมั้งครับ กรุ๊ปคนไทยเลยให้ของเขาไว้เป็นที่ระลึก เราก็มีให้เขาเหมือนกันแหละ ทิป แต่เป็นเงินมาเลเซีย ริงกิต เพราตอนนั้นยังหาแหล่งแลกเงินไทยไม่ได้ เลยต้องเซพเงินรูเปียห์กันแบบสุดๆครับ)



อังเดรบอกราคาค่าห้อง 250,000 รูเปียห์ต่อคืน ค่าทริปเดินป่าดูทาร์เซียสตอนค่ำ คนละ 85,000 รูเปียห์ ค่าทริปเดินป่าตอนเช้าดูลิงดำ กับดูนกเงือก คนละ 85,000 รูเปียห์เหมือนกันครับ ห้องที่เราได้เป็นห้องแรกด้านซ้ายมือสุดในภาพนะครับ (มาม่ารูสมีห้องประมาณ 12 ห้องครับ) อาบน้ำเสร็จก็ออกมากินอาหารเที่ยงเลยครับเขาทำม่าม่าใส่ไข่ให้กินก็อร่อยดี หรืออาจจะเป็นเพราะหิวก็ไม่รู้ ระหว่างที่กินก็มีฝรั่ง 4 คนมากับไกด์จากมานาโด สอบถามภายหลังเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ครับ เที่ยวมาทั่วอินโดนีเซียแล้ว แต่เขาไปกับไกด์ตลอด พอเราบอกว่าเรามาเองกับรถโดยสารไม่ใช้ไกด์เขาก็ฮือฮากันใหญ่มากล้ามาได้ไง ผมบอกว่าไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ถ้าเรารู้แล้วว่ามายังไงก็ง่ายมากจริงๆ แล้วก็เดินออกไปนอกโฮมสเตย์สำรวจหมู่บ้านครับ แล้วก็เดินเรื่อยๆประมาณ 500 เมตรก็ถึงชายหาดครับ ไม่ไกลจากโฮมสเตย์เท่าไหร่



During we had lunch there were 2 couples (asked later from Switzerland) they came with the our guide from Manado. We said we came by the public transportation, they said very surprise how we can come. But we said it was very easy if you know how to come. In the next picture it was our room and our beds. In the evening we had to use the mosquito net as well because many mosquitoes in the night time.
กลางคืนต้องนอนกางมุ้งนะครับ ไม่งั้นโดนยุงกัด แต่ในห้องวันนั้นไม่ค่อยมียุงครับ


The other tourists came to stay at Mama Roos Homestay with us.
ฝรั่งชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มาพักด้วยในวันนั้น แต่เขามากับไกด์จากมานาโด



After lunch we walked around the homestay and walked along the road, the pick-up car fulled of the passengers just passed after we arrived the homestay about 2 hours.
เดินสำรวจหมู่บ้าน ทางลงหาด เห็นรถโดยสารเพิ่งวิ่งผ่านไป เป็นรถที่มาจากกีเรียนนั่นแหละครับที่เราไม่รอมันน่ะ มันเพิ่งมาถึงหลังเราเกือบสองชั่วโมง

The next door Home Stay name Tangkoko Ranger โฮมสเตย์ที่อยู่ใกล้กับมาม่ารูสครับ ชื่อ Tangkok Ranger Homestay ครับผม


The local people in Batu Putih Village. ชาวบ้านแถวนั้นครับ แอบถ่าย หุๆๆๆ



The saw the beach at Batu Putih village, very black, becuase it is the sand from volcano area. It was very hot to walk on the sand during the day tome without the shoes.
สำรวจชายหาดครับ สีดำมากเพราะเป็นดินภูเขาไฟครับ กลางวันทรายจะร้อนมากเพราะเป็นสีดำ ดูดซับความร้อนครับ เดินเท้าเปล่าไม่ได้แน่นอน



This is me, the writer of this blog, on the black sandy beach.
ขอหล่อซักรูปนะครับ รูปที่แล้วอังเดรหล่อกว่า รูปนี้ผมหล่อกว่าแน่นอนครับ ใครเถียงเมนท์ได้นะครับ






The trekking trip to see tarsiers started at 4:30 pm. from the homestay. Our trekking guide that day was Semuel.
ถ่ายกับเซอมูเอลครับ ไกด์เดินป่าของเรา กำลังเริ่มต้นเดินป่าตอนบ่ายสี่โมงครึ่งนะครับ



The trekking way in Tangkoko forest is look like this at beginning but later we had to enter to the area that on the the trees and it is impossible to go there without the tour guide. However, the ranger will not allow the tourists to enter the forrest without the tour guide.
ทางเดินมนป่าตังโกโกะเป็นแบบนี้ครับ แต่ถ้าลึกๆเข้าไปไม่ได้เป็นแบบนี้นะ มีแต่ต้นไม้ถ้าไม่มีไกด์รับรองว่าหลงชัวร์ แต่ปกติทางอุทยานก็ไม่อนุญาตนักท่องเที่ยวที่เข้ามาโดยไม่มีไกด์อยู่แล้วครับ



The other tourists from our homestay but they went with another tour guide.
พวกฝรั่งก็แยกไปอีกกรุ๊ปหนึ่งครับ เราไปดูทาร์เซียสกันนะครับ คืนนี้ (ปกติการจ้างไกด์ที่เขาเขาจะไม่ให้เป็นกรุ๊ปใหญ่ครับ เพราะจะทำให้เสียงดัง สัตว์จะไม่ออกมา ก็เลยต้องแบ่งกันไปกรุ๊ปละสองคนครับ) ซึ่งผมคิดว่าเป็นการบังคับให้เขาได้ประโยชน์ด้วยเพราะจะได้ใช้ไกด์หลายคนลายคน