วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

Rented a motorbike to see around Manado & Tomohon เช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบเมืองมานาโดและโทโมฮอน

In the next morning we had breakfast in the restaurant on the top floor of Celebes Hotel. ( The hotel normally has breakfast included in the price.) It was boiled rice and some sausages, tea, coffee, not much things left for us becuse we woke up quite late. During the breakfast time we can see the view around the town from Celebes Hotel. The first picture is the view of Manado habour and Pasar Jengi



After breakfast we went down to the reception and asked for help from them to rent a motorbike, not much people speak English in the hotel but finally there was one girl, named Anda, a staff of the hotel reception, her English is very nice and she was the person to translate everything with her colleagues and a man, the owner of the motorbike. At first he asked us how long we needed, we said from 10:00 a.m. - 6:00 p.m. and he said 140,000 Rp (20,000 Rp per hour) and we asked for bargain and finally it was 100,000 Rp (We thought it was still expensive, but really hard to talk with them) (In Koh Samui motorbike rental for 24 hours, one day, the price is only about 200 Baht (50,000 Rp) But we paid double and not for 24 hours.)
After we paid, we went out from Celebes Hotel. We had no map yet, just a map in Lonely Planet book at it was not really clear about the road in Manado, many one way roads, and we had to turn many time before we found the way to leave from Manado.

ตื่นเช้าขึ้นมาวันรุ่งขึ้นเราก็ขึ้นไปทานอาหารเช้าที่ชั้นบนสุดของโรงแรม (ลืมบอกไปว่า ราคาห้องที่เราจ่ายคืนละ 150,000 รูเปียห์นั้น รวมอาหารเช้าด้วยซึ่งก็นับว่าดีมากเลยทีเดียวเพราะเราจะได้ประหยัดไปอีก 1 มื้อ) วันแรกที่เราไปกินค่อนข้างสายแล้วจึงเหลืออาหารไม่มาก มีแต่ข้าวต้ม ข้าวผัด ไส้กรอก ชา กาแฟ แค่นั้น แต่ทุกอย่างเหลือน้อยเต็มที จากวิวร้านอาหารที่เรานั่งกินกันจะสามารถมองเห็นเมืองมานาโดได้เกือยรอบๆเลย จะมองเห็นท่าเรือ และตลาดปลา Pasar Jengki ทานข้าวเสร็จก็ลงไปข้างล่างติดต่อรีเซ็พชั่นให้เขาต่อรองราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ให้ ตอนแรกคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะเขาไม่คุยภาษาอังกฤษกันเลย พนักงานโรงแรมก็คุยอังกฤษไม่ได้ แต่โชคดีที่วันนั้น มีพนักงานรีเซ็พชั่นผู้หญิงคนหนึ่งเธอชื่อ อันดา มาช่วยคุยให้ เป็นคนแรกที่พูดอังกฤษกับเราได้ดีที่สุดและเข้าใจที่สุด ตาลุงเจ้าของรถแกคิดเราโหดมาก ชั่วโมงละสองหมื่น เราจะเช่าถึง 6 โมงเย็น แกคิดเรา 140,000 รูเปียห์ แต่เราขอต่อเหลือแสนเดียว ประมาณ 400 บาท แกก็โอเค แต่ยังไงๆก็แพงอยู่ดี สู้ที่เกาะสมุยก็ไม่ได้ เช่า 24 ชั่วโมง แค่ 200 บาทเอง หรือประมาณ 50,000 รูเปียห์ มาเช่าที่นี่จ่ายสองเท่าเลยเหรอวะเนี่ย แถมต้องคืนรถในวันเดียวกันอีกต่างหากเฮ้อ... แพงโคตร (แต่ราคานี้แกบอกว่ารวมน้ำมันให้แล้วก็โอเค ยอมรับได้ แต่วันหลังเราก็เติมให้แกอยู่ดี สงสารแก) จ่ายเงินเสร็จ เราก็เริ่มผจญภัยในมานาโด ถนนที่นี่วันเวย์เยอะมากๆครับ เดี๋ยวไปแยกโน้มห้ามเข้าแยกนี้ วนไปวนมากลับที่เดิม โคตรฮาเลย ตลกมากๆ ต้องถามพนักงานโรงแรมใหม่กว่าออกจากเมืองไปทางไหนกันแน่




The first place we found, a chinese temple name Kienteng Ban Hian Kiong at Jalan(road) Panjaitan. The 19th century oldest Buddhist temple in eastern Indonesia and has been beautifully restored. In Lonely Planet said "The temple hosts a spectacular festival in February (date vary according to the lunar calendar)" But we did not go in February, so we missed it. In the picture here we can see the blue public car it call "Mikrolet" we can see the car like this everywhere around Manado Town and also a horse cart name "Bendi" and sometimes make the traffic slow. But it not made us boring about this, we really loved to see the real life of the people here and we can touch it. Everywhere when we got lost, the people here always told us the way with smiling face and friendly.
ที่แรกที่เราเจอคือวัดจีนสมัยศตวรรษที่ 19 ชื่อ Ban Hian Kiong ไม่รู้อ่านังไงกันแน่ อ่านไม่ออก ตั้งอยู่ที่ถนนปันไจตัน เป็นวัดในชุมชนจีนเก่าแก่ของมานาโดเขาล่ะ ถ้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็มีเทศการตรุษจีนเหมือนกันกับบ้านเราแหละครับ ในภาพนี้เราจะเห็นว่ามีรถโดยสารคันสีฟ้า เรียกว่า "มิโครเล็ท" ครับ วิ่งกนทั่วบ้านทั่วเมือง ไปทางไหนก็เจอมันวิ่งเต็มไปหมด เปิดเพลงเสียงดังโคตรๆ จนเรารู้จักเพลงหนึ่ง ชื่อ cari jodoh จารี โจโด๊ะ แปลว่า หาคู่ครับ ของวง Wali Band เปิดกันจนเราอยากรู้ว่าเป็นเพลงอะไรจนได้มาอยู่ในเครื่องโทรศัพท์เราแล้วล่ะ ใครอยากฟังเข้าไปเซิร์จฟังดูใน imeem.com นะครับ แล้วก็จะมีรถม้าที่เรียกว่า "เบ็นดี้" วิ่งปะปนกับรถราทั่วไปด้วยครับ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้รถติดได้ แต่ก็เป็นสีสันของที่เลยครับ คนที่นี่เวลาถามทางเขาจะเต็มใจตอบอย่างมากเลยครับ แล้วก็อัธยาศรัยดีมากๆ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างดี คุยกันไม่ได้ก็พาไปเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเราหาปั๊มน้ำมันไม่เจอ ถามลุงยาม แกอธิบายเราไม่ได้ เลยบอกให้เพื่อนเราคนหนึ่งรอที่นั่นแล้วขี่รถพาเราไปเติมเลย แล้วก็พากลับมา ซึ้งในน้ำใจจริงๆครับ



We went on our motorbike along Pierre Tendean Road (Boulevard) as we thought that it can be reached to Tomohon Town. (But it is not correct, to go to Tomohon Town, we have to go along Sam Ratulangi Road)

(We had found another day later that we can change the Thai currency in to Rupiah very good rate at Haji la Tunrung Star Group Office on Boulevard Pierre Tendean. Also US dollar and Euro are also better rate thant all the banks there. Because all the banks in Manado not accept Thai Baht for money exchange, only can change Euro and US dollar. For Thai Baht we had 250 Rp (If we change in Thailand just 240 Rp.)
เราขี่มอไซต์กันออกมาทางถนนปีแอร์เท็นแดน หรือ บูโลวาร์ด เพราะคิดว่ามันจะไปเมืองโทโมฮอนได้ (แต่เราคิดผิด เพราะถ้าจะไปเมืองโทโมฮอนต้องออกไปทางถนนสายหลักคือซาม ราตุลางี แต่เราหาทางออกไปซามราตุลางีไม่เจอเพราะติดวันเวย์ มั่วไปหมดเลย) ถนนปีแอร์ เท็นแดน นี้เป็นถนนเลียบชายฝั่งเมืองมานาโดเลยนะครับ ประมาณว่าเป็นเมืองใหม่ เพิ่งถมที่ถมทะเล จัดระเบียบให้สวยงาม มีห้าง มีร้านค้าเยอะแยะมากมาย KFC ก็มี วันหลังเราก็ไปกิน แต่ KFC ที่นี่ไม่มีส้อมกับมีดให้นะครับ ต้องกินกับมือ แต่มีที่ให้เราล้างมือด้วย แล้วก็กินกับข้าวสวยก้อนเบ้อเริ่มเลย กินไม่หมดครับ แล้วก็ราคา KFC ที่เขาแจ้งเราในบอร์ดราคา เวลาจ่ายตังค์ ต้องชาร์จภาษีเพิ่มจากเราอีก 7% แน่ะ ถนนเส้นนี้เราสามารถแลกตังค์ได้ที่ร้านชื่อ Haji La Tunrung Star Group ให้เรทดีมากๆ 1 บาทไทยแลกได้ 250 รูเปียห์เลยครับ เพราะที่แบงค์ที่นี่ไม่รับแลกเงินไทย รับแต่ดอลลาร์กับยูโร



We took about 30 minutes from Manado Town area and finally we arrived to a stautue or a monument look like this saying "You are leaving Manado" and we still continued along the way, we pass amny houses of the people here and there were so many churches along the road beacuse the most of Manadonese people are Catholic and Protestant.
ออกจากมานาโดได้ไม่นานเราก็มาถึงอนุสาวรีย์อันนี้ครับ มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่เขาเขียนว่าคุณกำลังออกจากเมืองมานาโด อีกด้านก็เขียนว่ายินดีต้อนรับสู่มานาโด เราก็ขับต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านบ้านเรือนผู้คนเริ่มน้อยลง และเป็นป่ามากขึ้น แต่ก็จะผ่านโบสถ์คริตส์สวยๆเยอะมาก เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ครับ มีทั้งโรมันคาทอลิกส์ และ โปรเทสแทนส์ อิสลามก็มีครับแต่ประปราย แต่ถ้าเป็นเมืองมากัสซาร์ที่อยู่ทางตอนใต้ของสุลาเวสี ที่เราเดินทางในอาทิย์ถัดไป ส่วนใหญ่อิสลามหมดเลยครับ



We passed many beautiful churches and we stopped to take the picture. This church we took while we stopped at the small kios when it was raining.
After the rain stopped, we continues the way threre and we found later that it was not the way to Tomohon but a man there said that we can continue and had to find an intersection ahead to see the way t o Tomohon. At that day it seemed that it rained and rained non stopped and we were soaked all the rain coat we had did not help anything. The road from the intersection to Tomohon town was very long for us and it was not so good condition, many holes, mud after rained, and we had to pass the mountain area where we saw like the chasm below. But finally we passed it just about 2 hours we were on motorbike in that area. The people always asked us "Dari Mana?" (Where you come from?)because we look like Indonesian people and We said "Dari Thailand (From Thailand) They always smiled and said Oh ! Thailand, Phuket ! (We don't know why they don't know Bangkok or Koh Samui but know only Phuket.) They were exciting after they knew we came from Thailand but we can not talk anything together too much because they can not speak English.)


โบสถ์หลังนี้ถ่ายตอนที่เราหลบฝนครับ เปียกหมดเลย เสื้อกันฝนลุงแกมีให้ตัวเดียว ใส่สองคนก็ไม่ได้ เล็กจริงๆ เราก็เลยยอมเปียก 1 คน ใส่ 1 คน ลุงที่เป็นเจ้าของร้านชำที่เราไปหลบฝน แกคุยภาษาอังกษได้ด้วยแหละ ไม่น่าเชื่อเลย แกบอกว่าทางที่เราจะไปไม่ได้ไปโทโมฮอน แต่ไปโทโมฮอนก็ได้ ต้องหาแยกเลี้ยวซ้ายข้างหน้า เราก็ขับต่อไปเจอแยก แต่รู้มั้ยครับว่ากว่าเราจะถึงโทโมฮอนกับทางแยกที่ลุงแกว่านั้น เกือบตาย ต้องผ่านทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ขรุขระ โคลนตมหลังฝนตก ผ่านช่วงที่เป็นหน้าผา น่ากลัว ผ่านบ้านเรือนผู้คนมากมาย แต่ก็สังเกตได้ว่า เจ้า มิโครเล็ต สีฟ้าที่บอกตั้งแต่ตอนต้น วิ่งไม่ขาดระยะเลย แทบจะบอกได้ว่ามันมีทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ถามทางผู้คนเพื่อความแน่ใจเป็นระยะๆ เขาเห็นเราเขาก็พูดภาษาอินโดนีเซียใส่ทันที แหม! นึกว่าเราพูดได้ละซี เอ๊า! ก็หน้าคนไทยกับคนอินโดมันเหมือนกันซะขนาดนั้นจะให้เขาพูดภาษาไทยใส่แกเหรอ ที่ฟังออกเพราะเจอบ่อยมากและอ่านหนังสือไปนิดหน่อย เขาจะถามว่า "ดารี ม้าน่า" แปลว่าคุณมาจากหม่องได๋เหรอ เราก็บอกว่า "ดารี ไทยแลนด์" โอ้ ไทยแลนด์ ภูเก็ต ? อะไร.. รู้จักภูเก็ตแต่ไม่ยักกะรู้จักกรุงเทพมหานครบ้านเรา หรือเกาะสมุย ที่เราอาศัยซุกหัวนอนอยู่ งง ครับ คนที่นี่ส่วนใหญ่รู้จักภูเก็ตจริงๆ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่านะเนี่ย แต่เท่าที่ผ่านมาก็จริงๆ อ่ะ แต่หลังจากนั้นก็คุยอะไรกันไม่ได้หรอก เขาก็ ไม่สปีคอิงลิชกับเรา เราก็หยิ่งครับ ไม่คุยด้วยกับแกหรอก เพราะช้านก็พูดภาษาแกไม่ได้อ่ะ



After the mountain area, we passed the rice farming area look like this picture. It still rained with small drop but we can take this picture.
หลังจากขี่ผ่านช่วงป่าเขาลำเนาไพรแล้วเราก็มุ่งหน้าสู่เขตทุ่งนาครับ ฝนยังปรอยๆอยู่แต่มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับเราหรอกนะจะบอกให้



After the rice farming area, we passed Woloan Village. The highlight of this village is the knockdown house. They built it and export around the world .
ผ่านทุ่งนาก็จะเป็นหมู่บ้านชื่อโวโลอัน ครับผม เป็นหมู่บ้านที่สร้างบ้านไม้ขาย เรียกว่าบ้านแบบน็อคดาวน์ครับ สร้างแล้วรื้อเก็บเป็นแต่ละชิ้นส่วนส่งไปขายต่างประเทศ (ส่งช่างไปประกอบให้ด้วยถึงต่างประเทศด้วยนะ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น