วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

Tangkoko-Batuangas Dua Saudara Nature Reserve เที่ยวป่าตังโกโกะ

Next morning, on 19th May 2009, after we had breakfast we went down to the recptin and checked-out. We asked them to leave our baggage in Celebes Hotel and bring our important stuffs for Tangkoko Park.
To go to Tangkoko Park, we walked along Sam Ratulangi Road (only walk, can not go by the car because it is against the one way) We walked just 200 meters long then arrived at the Zero Point. At the Zero Point we turned left to the Sudirman Road to wait for the Mikrolet that showed the sign " Paal 2 " (Pronounce Paal Dua; it is the terminal for the bus and mikrolet around the town, Bus to Bitung or Mikrolet to Sam Ratulangi Airport) The mikrolet took about 20 minutes from Zero Point to Paal 2 Terminal and we paid just 2,000 Rp (8 Baht) per person. When we got off from the mikrolet, a bus boy was shouting "Bitung Bitung Bitung..." Then we got in that bus. It was

To go to Tangkoko Park, we walked along Sam Ratulangi Road (only walk, can not go by the car because it is against the one way) We walked just 200 meters long then arrived at the Zero Point. At the Zero Point we turned left to the Sudirman Road to wait for the Mikrolet that showed the sign " Paal 2 " (Pronounce Paal Dua; it is the terminal for the bus and mikrolet around the town, Bus to Bitung or Mikrolet to Sam Ratulangi Airport) The mikrolet took about 20 minutes from Zero Point to Paal 2 Terminal and we paid just 2,000 Rp (8 Baht) per person. When we got off from the mikrolet, a bus boy was shouting "Bitung Bitung Bitung..." Then we got in that bus
a white air-conditioned bus and looked a quite old, the seats were covered by the yellow cloth and there were some plastic chairs for the spare seats.(Normally has both air-conditioned and non air-conditioned bus from Manado to Bitung.) Many children came up in the bus and asking us for buying something from them, we bought only one bottle of water per person 2,500 Rp (10 Baht) A boy asked us to buy a newspaper from him but we negated because it was Indonesian Language but he still tried many times to sell the newspaper to us. Then we said "Tidak mau, terima kasih, bukan orang Indonesia, dari Thailand" After he knew that we are not indonesian, he told his friends to come in the bus to sell many things again. It was very funny because it made us felt like the situation in the bus in our country when the bus stopped and many people came up in the bus to sell something to the passengers in the bus.The bus left Paal 2 Terminal and took about 1 hour to Tangkoko Terminal. From Tangkoko Terminal we took a mikrolet to Girian. From Girian we waited for the pick-up car to transfer us to Batuputih Village where the Tangkoko Park is located. We waited quite long time but no pick-up left from the queue, because there were not other passengers. 2 guys in that area asked us to go with them if we paid 20,000 Baht per person for motorbike taxi. We agreed immediatly because it was so long time waiting there already. (If we went by pick-up normally it costed only 7,000 Rp per person.) But we can say, by this price 20,000 Rp per motorbike is very good price because from Girian to Batu Putih Village is about 35 kilometers long and has to take about 40 minutes on the motorbike or the pick-up car because the way to get there is in the mountain area and the road will up down up down and there are many curves along the way.


วันถัดมาเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2552 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเราก็เช็คเอ้าท์แต่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เลือกเอาเฉพาะของที่จำเป็นเพราะว่าจะกลับมาเช็คอินอีกรอบหลังจากกลับมาจาก ป่าตังโกโกะแล้ว การเดินทางไปตังโกโกะนั้นง่ายมากครับ แต่ก่อนที่เราจะไปตอนนั้นรู้สึกกลัวเหมือนกันเพราะทุกคนส่วนใหญ่ไปกับทัวร์ หมดเลย แต่ถ้าไม่ไปเองก็ไม่รู้ครับว่ามันจะเป็นอย่างไร วิธีการไปก็คือ จากโรงแรมเซลีเบสให้เดินไปตามถนนซาม ราตุลางี ประมาณ 200 เมตรก็จะถึงทางแยกที่เรียกว่าซีโร่พอยท์ครับ (เดินอย่างเดียวนะครับ นั่งรถไม่ได้เพราะจะย้อนศรวันเวย์) แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปทางถนน สุดีร์มาน (Jalan Sudirman) แล้วก็รอรถมิโครเล็ตอยู่ตรงนั้น รอสายที่เขียนว่า "Paal 2" อ่านว่าปาล ดูอา นะครับ เป็นชื่อของท่ารถสายที่เราจะไปทางบีตุงนะครับ แล้วก็เป็นท่ารถที่เราสามารถต่อมิโครเล็ตสายที่ผ่านสนามบินจากที่นี่ได้ด้วย รอไม่นานรถสายปาล ดูอา ก็มาครับ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงปาล ดูอาครับ จ่ายค่าโดยสารไปคนละ 2,000 รูเปียห์ครับ (8 บาท) พอลงรถปุ๊บก็เดินหารถบัสสายที่จะไปบีตุงครับ ก็ได้ยินเด็กรถตะโกนเรียกผู้โดยสาร " บีตุง ๆๆๆๆๆๆ" เราก็ขึ้นไปนั่งรอเลยครับ เป็นรถบัสคันสีขาว เก่ามากๆ แต่ติดแอร์นะครับ (คันที่ไม่ติดแอร์ก็มีครับ แล้วแต่คิว) เบาะนั่งคลุมด้วยผ้าสีเหมือนจีวรพระเปี๊ยบเลย หว่างที่รอ เด็กๆแถวนั้นก็เอาของขึ้นมาขาย มีน้ำดื่มใส่ขวด ถั่วต้ม อะไรทำนองเนี้ย เหมือนบ้านเราไม่มีผิด มีเด็กอยู่คนหนึ่งจะเอาหนังสือพิมพ์มาขายเราให้ได้ ตื๊ออยู่นั่นแหละ จนเราต้องบอกว่า "ตีด๊ะมาอู เตอริมา กาซิห์ บูกัน ออรัง อินโดนีเซีย ดารีไทยแลนด์" ซึ่งก็แปลได้ว่าไม่เอาครับ ขอบคุณ ไม่ใช่คนอินโดนีเซียครับ มาจากประเทศไทย เด็กนั่นก็ร้องอ้อ แล้วก็ลงไปบอกเพื่อนๆเขาว่าเรามาจากไทยแลนด์เป็นนักท่องเที่ยว พวกเด็กๆก็ขึ้นมาจะขายของเราอีก ก็เลยซื้อน้ำขวดเดียวครับ 2,500 รูเปียห์ (10 บาท) พอซื้อน้ำเสร็จ เด็กคนนั้นก็จะให้เราซื้อหนังสือพิมพ์อีก เราบอกเป็นภาษาไทยครับว่า"อ่านไม่ออก" ทีนี้เวลาเด็กนั่นพูดอะไรเราก็พูดภาษาไทยใส่มัน มันคงรำคาญเลยยอมจากเราไปแต่โดยดี ภายในรถจะสังเกตได้ว่ามีเก้าอี้เสริมด้วยครับ ซึ่งก็โชคดีที่เรามาขึ้นก่อนไม่ต้องนั่งเก้าอี้เสริม เพราะว่าคงทำใจลำบากตอนรถเบรคอ่ะครับน่ากลัว แต่เท่าที่สังเกต คนที่นั่งเก้าอี้เสริมก็มิได้สะทกสะท้านอะไรเลย ตอนเบรคก็ไม่เคลื่อนที่ด้วย อาจจะเป็นเพราะว่ารถแน่นด้วยมั้งเพราะข้างในค่อนข้างแคบด้วยที่นั่งเสริมก็ เลยไม่เคลื่อนที่ตอนรถเบรค รถบัสออกจากปาลดูอา ประมาณ 10 โมงเช้า สักครู่เด็กรถก็มาเก็บตังค์ เราบอกว่าไป Terminal Tangkoko (ต้องเรียกว่า เทอร์มินอล ตังโกโกะ นะครับเพราะภาษาอินโดมีลักษณะเหมือนภาษาไทยตรงที่คำขยายหรือชื่อสถานที่ต้อง ตามหลังคำนามนะครับ) เด็กนั่นคิดเรา คนละ 10,000 รูเปียห์ครับ ประมาณ 40 บาท รถวิ่งมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ก็ดั๊น มาเสียกลางทางครับ ใกล้จะถึงเทอร์มินอลตังโกะอยู่แล้วเชียว (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ครับว่าใกล้ถึงเทอร์มินอลตังโกโกะแล้ว เพิ่งมารู้ตอนขากลับ) ผู้โดยสารก็เริ่มทะยอยลงจากรถบัสไปขึ้นมิโครเล็ตกันตามสายที่ตัวเองจะไป เราก็คิดว่ายังไม่ถึงครับก็เลยไม่ลง กะว่ารถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้นครับ แต่นานครับ ไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทติดเลย คนลงหมดแล้ว ทีนี้ทนอยู่ไม่ได้แล้วครับ ซี้แหงแก๋ ถ้ารออยู่อย่างนั้น เลยตัดสินใจถามคนขับรถว่า (เป็นภาษาอังกฤษ) อีกไกลมั้ย เทอร์มินอลตังโกโกะ น่ะ แต่คิดเหรอว่าเขาจะเข้าใจเรา




ก็เลยใช้ไม้ตาย งัดเอาคำศัพท์ภาษาอินโดเท่าที่จำได้มาประมวลผลครับ Saya mau pergi ke Batu Putih, Di mana Girian? ผมอยากไปบาตูปูติห์ครับ แล้วกีเรียนอยู่ที่ไหน (ความหมายของผมก็คือ จะไปป่าตังโกโกะที่อยู่ที่หมู่บ้านบาตูปูติห์ แต่ต้องไปต่อรถที่กีเรียนก่อน ถึงจะไปบาตูปูติห์ได้) คนขับก็เลยร้อง อ๋อ..แล้วก็เรียกมิโครเล็ตให้เราคันหนึ่งมีผู้โดยสารอยู่แล้วด้วย บอกให้พาเราไปกีเรียน เฮ้อ..โล่งอกครับ นึกว่าจะไม่เข้าใจซะแล้ว แต่ยังครับ ยังไม่จบ ก็อีตาคนขับมิโครเล็ตคันนั้นนะสิ มันเข้าไปส่งผู้โดยสารที่เทอร์มินอลตังโกโกะก่อน เราก็คิดว่าถึงแล้ว ก็เลยลง เพราะผู้โดยสารลงเกือบหมด คนขับรถก็ถามเราประมาณว่าไปไหน เราบอกว่า กีเรียน แกเลยพูดอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ออก แต่เรียกให้เรากลับขึ้นรถไปใหม่ (ใครจะไปรู้ล่ะ ก็นึกว่าถึงกีเรียนแล้ว เป็นท่ารถเหมือนกัน) ไม่นานแกก็พาเรามาลงที่หน้าร้านขายวัสดุก่อสร้างแล้วบอกให้เราลง เราชักเอะใจก็เลยถามอีกที Ini Girian? ที่นี่ใช่มั้ย (อันนี้พอถูไถนะครับ ไม่แน่ใจว่าถูกไวยากรณ์อินโดหรือเปล่านะ แต่ใช้เอาตัวรอดได้ในยามคับขันครับ) เขาก็พยังหน้าบอกว่าใช่ เลยจ่ายตังค์ เขาคิดค่าโดยสารคนละ 5,000 รูเปียห์ รู้แหละว่าคิดเกินราคา แต่ช่างเหอะ เรารวย ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เพราะพูดภาษาเขาไม่ได้


ความจริงกีเรียนไม่ได้เป็นท่ารถอย่างที่เรา จินตนาการไว้ครับ มันคือปากซอยที่คนรอรถเพื่อเข้าไปหมู่บ้านบาตูปูติห์ครับ ซึ่งตาลุงมิโครเล็ตนั้นก็พาเรามาถูกที่แล้วครับ รถโดยสารที่จะไปบาตูปูติห์เป็นรถกระบะสี่ล้อเล็ก ข้างหลังที่ปิ๊กอัพมีม้านั่งเป็นแถวๆประมาณ 4 แถว ให้ผู้โดยสารนั่ง แต่เรารอตั้งนาน ไม่มีผู้โดยสารอื่นมารอเลย เขาก็ไม่ออกรถ มีวัยรุ่นสองคนเข้ามาเสนอราคาให้เราไปกับมอเตอร์ไซต์เดี๋ยวเขาจะไปส่ง เราจะไปพักโฮมสเตย์ไหน เราบอกว่า มาม่ารูส โฮมสเตย์ (Mama Roos Homestay) เขาคิดเราคนละ 20,000 รูเปียห์ เราก็เอาครับเพราะขี้เกียจรอแล้ว คนละ 80 บาทก็คุ้มครับ เพราะระยะทางจากกีเรียนไปบาตูปูติห์ก็ประมาณ 35 กิโลครับ ทางที่ไปก็ขึ้นเขาลงเขา โค้งเยอะแยะมากมาย กว่าจะถึงก็ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีแนะ (ที่บาตูปูติห์มีโฮมสเตย์สามที่นะครับอยู่ติดๆกันเลย คือ มาม่ารูส โฮมสเตย์ แรงเจอร์ โฮมสเตย์ และ ทาร์เซียส โฮมสเตย์ครับ ท่าเก๋าสุดและออริจินอลสุดก็มาม่ารูสครับผม)



We arrived at Mama Roos Homestay already. A man name "Andre"(the man in black T-shirt in the next picture he is also a ranger and works in Mama Roos Homestay.) invited us to take a rest and served us the water and later a bowl of noodles. He told us the price of the room 250,000 Rp per night included 3 meals, afternoon trekking trip to see the tarsiers 85,000 Rp per person and morning trekking trip to see black macaques and red-knobbed hornbills also 85,000 Rp per person. To ask the room availability , you can send the e-mail to ask Andre at turacuena_manadensis@yahoo.com he will check e-mail once a week. Or you can call to "Semuel" (Our trekking guide and the younger brother of Mama Roos's owner) at +6281340407690 Andre gave us a room in the next picture. We took a shower and walked along the road from Mama Roos Homstay untill to the beach.

พอเราลงจากมอเตอร์ไซต์ อังเดร(เป็นไกด์ แล้วก็ทำงานในมาม่ารูส โฮมสเตย์ครับ) ก็มาต้อนรับเราครับ อังเดรบอกว่าเคยมีกรุ๊ปคนไทยมาดูนกที่นี่ก่อนที่เราจะมาเมื่อปีที่แล้ว จริงๆแล้วเราไม่ได้จองที่พักกับที่นี่ก่อนเลยเพราะว่าเมล์ที่ให้ในโลนลี่แพ ลนเน็ทมันไม่อัพเดทครับ ติดต่อใครไม่ได้ มาครั้งนี้ก็คือมาแบบเสี่ยงดวงมากๆครับ คิดว่าถ้ามาม่ารูสเต็มก็จะไปที่แรงเจอร์โฮมสเตย์ แต่มาม่ารูสว่างครับก็เลยพัก แต่ถ้าใครจะมา ก็เมล์มาถามห้องว่างกับอังเดรได้ครับที่ turacuena_manadensis@yahoo.com หรือโทรถามเซอมูเอ็ล ได้ครับ ที่
+6281340407690 (เซอร์มูเอ็ล เป็นไกด์เดินป่าของเราครับ แล้วก็เป็นน้องชายของเจ้าของมาม่ารูสด้วยครับ นิสัยดีมาก น่ารัก เป็นกันเองสุดๆครับ วันกลับยังเอาเสื้อรูปนกที่กรุ๊ปคนไทยเคยให้เขาไว้ใส่มาให้เราดูเลย ก็ด้วยความเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นกันเองละมั้งครับ กรุ๊ปคนไทยเลยให้ของเขาไว้เป็นที่ระลึก เราก็มีให้เขาเหมือนกันแหละ ทิป แต่เป็นเงินมาเลเซีย ริงกิต เพราตอนนั้นยังหาแหล่งแลกเงินไทยไม่ได้ เลยต้องเซพเงินรูเปียห์กันแบบสุดๆครับ)



อังเดรบอกราคาค่าห้อง 250,000 รูเปียห์ต่อคืน ค่าทริปเดินป่าดูทาร์เซียสตอนค่ำ คนละ 85,000 รูเปียห์ ค่าทริปเดินป่าตอนเช้าดูลิงดำ กับดูนกเงือก คนละ 85,000 รูเปียห์เหมือนกันครับ ห้องที่เราได้เป็นห้องแรกด้านซ้ายมือสุดในภาพนะครับ (มาม่ารูสมีห้องประมาณ 12 ห้องครับ) อาบน้ำเสร็จก็ออกมากินอาหารเที่ยงเลยครับเขาทำม่าม่าใส่ไข่ให้กินก็อร่อยดี หรืออาจจะเป็นเพราะหิวก็ไม่รู้ ระหว่างที่กินก็มีฝรั่ง 4 คนมากับไกด์จากมานาโด สอบถามภายหลังเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ครับ เที่ยวมาทั่วอินโดนีเซียแล้ว แต่เขาไปกับไกด์ตลอด พอเราบอกว่าเรามาเองกับรถโดยสารไม่ใช้ไกด์เขาก็ฮือฮากันใหญ่มากล้ามาได้ไง ผมบอกว่าไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ถ้าเรารู้แล้วว่ามายังไงก็ง่ายมากจริงๆ แล้วก็เดินออกไปนอกโฮมสเตย์สำรวจหมู่บ้านครับ แล้วก็เดินเรื่อยๆประมาณ 500 เมตรก็ถึงชายหาดครับ ไม่ไกลจากโฮมสเตย์เท่าไหร่



During we had lunch there were 2 couples (asked later from Switzerland) they came with the our guide from Manado. We said we came by the public transportation, they said very surprise how we can come. But we said it was very easy if you know how to come. In the next picture it was our room and our beds. In the evening we had to use the mosquito net as well because many mosquitoes in the night time.
กลางคืนต้องนอนกางมุ้งนะครับ ไม่งั้นโดนยุงกัด แต่ในห้องวันนั้นไม่ค่อยมียุงครับ


The other tourists came to stay at Mama Roos Homestay with us.
ฝรั่งชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มาพักด้วยในวันนั้น แต่เขามากับไกด์จากมานาโด



After lunch we walked around the homestay and walked along the road, the pick-up car fulled of the passengers just passed after we arrived the homestay about 2 hours.
เดินสำรวจหมู่บ้าน ทางลงหาด เห็นรถโดยสารเพิ่งวิ่งผ่านไป เป็นรถที่มาจากกีเรียนนั่นแหละครับที่เราไม่รอมันน่ะ มันเพิ่งมาถึงหลังเราเกือบสองชั่วโมง

The next door Home Stay name Tangkoko Ranger โฮมสเตย์ที่อยู่ใกล้กับมาม่ารูสครับ ชื่อ Tangkok Ranger Homestay ครับผม


The local people in Batu Putih Village. ชาวบ้านแถวนั้นครับ แอบถ่าย หุๆๆๆ



The saw the beach at Batu Putih village, very black, becuase it is the sand from volcano area. It was very hot to walk on the sand during the day tome without the shoes.
สำรวจชายหาดครับ สีดำมากเพราะเป็นดินภูเขาไฟครับ กลางวันทรายจะร้อนมากเพราะเป็นสีดำ ดูดซับความร้อนครับ เดินเท้าเปล่าไม่ได้แน่นอน



This is me, the writer of this blog, on the black sandy beach.
ขอหล่อซักรูปนะครับ รูปที่แล้วอังเดรหล่อกว่า รูปนี้ผมหล่อกว่าแน่นอนครับ ใครเถียงเมนท์ได้นะครับ






The trekking trip to see tarsiers started at 4:30 pm. from the homestay. Our trekking guide that day was Semuel.
ถ่ายกับเซอมูเอลครับ ไกด์เดินป่าของเรา กำลังเริ่มต้นเดินป่าตอนบ่ายสี่โมงครึ่งนะครับ



The trekking way in Tangkoko forest is look like this at beginning but later we had to enter to the area that on the the trees and it is impossible to go there without the tour guide. However, the ranger will not allow the tourists to enter the forrest without the tour guide.
ทางเดินมนป่าตังโกโกะเป็นแบบนี้ครับ แต่ถ้าลึกๆเข้าไปไม่ได้เป็นแบบนี้นะ มีแต่ต้นไม้ถ้าไม่มีไกด์รับรองว่าหลงชัวร์ แต่ปกติทางอุทยานก็ไม่อนุญาตนักท่องเที่ยวที่เข้ามาโดยไม่มีไกด์อยู่แล้วครับ



The other tourists from our homestay but they went with another tour guide.
พวกฝรั่งก็แยกไปอีกกรุ๊ปหนึ่งครับ เราไปดูทาร์เซียสกันนะครับ คืนนี้ (ปกติการจ้างไกด์ที่เขาเขาจะไม่ให้เป็นกรุ๊ปใหญ่ครับ เพราะจะทำให้เสียงดัง สัตว์จะไม่ออกมา ก็เลยต้องแบ่งกันไปกรุ๊ปละสองคนครับ) ซึ่งผมคิดว่าเป็นการบังคับให้เขาได้ประโยชน์ด้วยเพราะจะได้ใช้ไกด์หลายคนลายคน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น